http://www.kumanthongsiam.com
    สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 24/05/2008
ปรับปรุง 10/07/2021
สถิติผู้เข้าชม23,989,980
Page Views33,427,261
Menu
หน้าแรก
รวมรูปภาพ
เว็บบอร์ด
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 

 


เรื่องเล่าจากโกสินทร์ ตอนที่ 59 มีรูปวัว,ควายธนูประกอบ

(อ่าน 2473/ ตอบ 10)

โกสินทร์





เรื่องเล่าจากโกสินทร์ ตอนที่ 59 มีรูปวัว,ควายธนูประกอบ


ประสบการณ์ของคุณป้าตอน 4


         


         เมื่อวันที่ 14 มีนาคมนี้ ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับพี่ดำรงค์  นักเขียนติดอันดับ 1 ใน 10 แนวหรรษาของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย หลายปีมาแล้ว หากอ่านขายหัวเราะจะรู้จักด้วยพี่ดำรงค์เขียนลงในหนังสือเล่มนี้ ลูกผมยังเคยอ่านก็ได้นัดแนะให้ผมไปพบปะพูดคุยกัน ก็เราเป็นญาติกันครับก็สอบถามสาระทุกข์สุกดิบหลังจากที่เราไม่ได้พบกันครั้งล่าสุดคืองานศพแม่พี่ดำรงค์ วันนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนักก็ญาติเยอะน่ะครับ สมัยเป็นเด็กพอวันหยุดเสาร์อาทิตย์หนึ่งในบ้านญาติที่ผมไปก็คือบ้านแม่พี่ดำรงค์นี่ล่ะ บ้านแม่พี่ดำรงค์อยู่ในสวนมะพร้าว บรรยากาศร่มรื่นมากเลี้ยงวัวหลายตัว….. พอผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพ พี่ดำรงค์ก็ชวนผมให้ไปหาคุณลุงซึ่งเป็นสามีของคุณป้าที่ผมกำลังเล่าประสบการณ์ของท่านอยู่ขณะนี้ คุณลุงของผมท่านเป็นนักเขียนใหญ่ บรรดาคนชอบอ่านหนังสือรู้จักท่านทั้งนั้น เวลาผมไปติดหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานแม้นกระทั่งหมอหลายคนพอเห็นนามสกุลผมก็ถามว่าเป็นอะไรกันลุงของผม มีหมอโรคหัวใจคนหนึ่งชืนชมคุณลุงผมมาก ผมเลยเอาหนังสือที่มีลายมือคุณลุงเขียนปกในหนังสือของท่านมอบให้น้องสาวผม หมอคนนั้นดีใจมากจนแสดงออกนอกหน้านำหนังสือออกมาอวดพยาบาลและเหล่าเพื่อนหมอ……สมัยผมเรียนพณิชยการบางนา( ซึ่งตั้งอยู่ที่แยกบางนา-ตราด ทางไปชลบุรี ก่อนถึงเซ็นทรัลบางนา) แผนกเลขานุการ ซึ่งคนที่เรียนแผนกนี้วิชาพิมพ์ดีดและชวเลขจะต้องเก่ง ผมก็เป็นที่หนึ่งของห้องในวิชาพิมพ์ดีด พิมพ์ดีดของพณิชยการบางนาสมัยนั้นเป็นแบบแป้นปัตตะโชติ นักเรียนที่จบจากที่นี่พอออกไปทำงานจะต้องไปฝึกพิมพ์ดีดแบบดัชนีซึ่งเป็นที่ใช้กันเป็นสากลทั่วไป เพื่อนผู้หญิงชื่อราตรีเก่งมากในขณะที่เรียนเค้าสามารถพิมพ์ดีดได้ทั้งสองแบบในเวลาเดียวกัน ไม่รู้เค้าแยกประสาทได้อย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่เวลาจบจากที่นี่ค่อยไปฝึกแบบดัชนีกันทั้งนั้น พี่ดำรงค์รู้ว่าผมเรียนพณิชยการเลยขอให้ผมพิมพ์รายงานหรือวิทยานิพนธ์ให้ก็ไม่ทราบลืมเสียแล้วซิ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พิมพ์ให้เนื่องจากพี่ดำรงค์ไม่ได้นำงานมาให้….จากการที่พิมพ์ดีดเก่งเป็นที่หนึ่งของห้อง(อย่าเข้าใจผิด เก่งเฉพาะพิมพ์ดีด วิชาอื่นก็ยังงั้น ๆ นั่นแหละ) ผมเลยเข้าแข่งขันชิงแชมป์พิมพ์ดีดแบบปัตตะโชติแห่งประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2616 ถึง 2518 จำไม่ได้แล้วว่าปีไหน ที่อาคารลุมพินีสถานหรือเปล่าไม่แน่ใจ จำชื่ออาคารไม่ได้ อยู่ในสวนลุมพินีซึ่งขณะนี้ ก.ก.ป.ส.ชุมนุมกันนั่นล่ะ ณ.ปัจจุบันอาคารดังกล่าวยังอยู่เลย พอเริ่มแข่งขันพวกรอบรุ่นแรกพิมพ์ โอ้โฮอื้อฮือเสียงยังกะข้าวตอกแตก เหมือนฝนตกลงบนสังกะสี เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตายแล้วเราว่าเราเก่งแล้วมีคนเก่งกว่าเราอีก กลับบ้านดีกว่า แต่ก็เอาเถอะไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองสู้กับเค้าสักตั้ง ก็ไปประลองฝีมือกับเค้า พอพิมพ์เสร็จช่วงเค้าตรวจสอบเพื่อจะตัดสิน ก็คั่นรายการด้วยเชิญหม่อมถนัดศรี สวัสดิวัฒน์มาร้องเพลง ผลออกมาก็ไม่ติดอันดับเค้าหรอกครับ ก็ได้ของที่ระลึกเป็นที่เขี่ยบุหรี่เป็นรูปพิมพ์ดีดแป้นแบบปัตตโชติ เลยเข้าใจเหนือฟ้ายังมีฟ้า เราว่าเราเก่งแล้วยังมีคนเก่งกว่าเราอีก หายซ่าไปเลย….พี่ดำรงค์ต้องการคุยกับคุณลุงด้วยเป็นนักเขียนด้วยกันทั้งคู่ วันนั้นพี่ดำรงค์ให้ผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปบ้านคุณลุง อกสั่นขวัญระทึกเสียวมากขับรถมอเตอร์ไซค์ในเมืองกรุง แม้นว่ารถมอเตอร์ไซค์ของพี่ดำรงค์จะคันใหญ่มาจากนอกก็เถอะ บางครั้งก็พาผมไปนั่งกินอาหารข้างรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรบางเขน ผลงานพี่ดำรงค์มากมายหลายเล่ม บางเรื่องก็นำมาฉายเป็นละครทางโทรทัศน์เช่น จักรยานสีแดง, กระบือบาล วันนั้นเราคุยกัน 3 ชั่วโมงยังไม่จุใจ พี่ดำรงค์นัดพบกันวันใหม่อีก สถานที่เดิมอิมพีเรียลสำโรง ร้านอาหารที่เราไปกินกันปรากฎว่าคุณพี่เจ้าของร้านเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาผงปรุงรสยี่ห้อหนึ่ง เออ..เธอดูดีสง่ามากผมมีความรู้สึกอย่างนั้นตั้งแต่แรกพบจริง ๆ จริง ๆนะเออ เอาล่ะจากนี้ไปก็มาฟังเรื่องเล่าของคุณป้าต่อนะครับ……


          ท่านเจ้าคุณก็ยิ้มและเล่าตามความจริงให้ภรรยาฟังว่า อาตมาได้ให้คุณ…. สององค์จริงเมื่อเช้านี้ เพราะเห็นว่าเป็นผู้มีคุณต่อท่านอาจารย์มั่นมาก ตลอดพระสงฆ์ เรื่อยมาแต่วันท่านมรณภาพจนเสร็จงาน อาตมายังจำไม่ลืม เมื่อได้พระธาตุท่านอาจารย์มั่นมาจากคุณวัน  คมนามูล ร้านศิริผลพานิช นครราชสีมา ก็เลยสงวนไว้ เพื่อนำมามอบให้เป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นของหายากในสมัยปัจจุบัน เพิ่งจะพบอัฐิกลายเป็นพระธาตุเฉพาะของท่านอาจารย์มั่นเพียงองค์เดียว นอกนั้นก็ได้ยินแต่ตำราท่านบอกไว้ ยังไม่เห็นตัวจริงประจักษ์ตา บัดนี้ได้เห็นเป็นพยานหลักฐานอย่างแท้จริงเสียแล้ว กรุณารักษาไว้ในที่สมควร เดี๋ยวท่านไปก็ยิ่งลำบากมากกว่าเป็นความสุขใจในเวลาท่านมาเพิ่มให้เป็นไหน ๆ  จะว่าอาตมาไม่บอก เพราะพระธาตุท่านอาจารย์มั่นเป็นของอัศจรรย์มาก ยิ่งท่านมาได้ง่าย ๆ อย่างนี้ บทเวลาท่านไปเพราะความเคารพเราไม่พอยิ่งไปได้ง่าย กรุณาเชิญท่านไว้ที่สูง เคารพบูชาท่านทุกเช้าเย็น ท่านอาจบันดาลความเป็นสิริมงคลเกินคาดให้เวลาใดก็ได้ อาตมาเชื่อท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เป็นพระผู้บริสุทธิ์มานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกใครได้ง่าย ๆ  กลัวเขาจะหาว่าเป็นบ้า เพราะคนเรามีนิสัยเชื่อในสิ่งที่ดีได้ยากแต่เชื่อในสิ่งไม่ดีได้ง่าย จึงหาคนดีได้ยาก หาคนชั่วได้ง่ายแม้ในตัวเราเอง ถ้าสังเกตุดูก็พอทราบได้ว่า ใจชอบคิดในทางชั่วมากกว่าทางดีเป็นประจำนิสัย พอท่านแนะจบลง ท่านข้าราชการกับภรรยาก็กราบนมัสการลาท่านกลับด้วยความชื่นบานหรรษาอย่างบอกไม่ถูกทั้งสองคน


          ในเรื่องมูลเหตุแห่งความแปลกและอัศจรรย์ของพระธาตุ ที่จะทำให้ปาฎิหารย์เพิ่มขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงจำนวนนั้น ท่านพระอาจารย์มหาบัวฯ ได้เขียนไว้ว่า


             นี่แลพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่นเป็นความแปลกและอัศจรรย์ดังที่นำมาลง เพื่อท่านผู้อ่านได้พิจารณาหามูลเหตุแห่งความอัศจรรย์ของพระธาตุดังกล่าวนี้ต่อไป ส่วนการค้นหาหลักฐานและเหตุผลมาพิสูจน์ดังที่โลกใช้กันนั้นรู้สึกจะพิสูจน์ได้ยาก อาจมองไม่เห็นร่องรอยเลยก็ได้สำหรับเรื่องทำนองนี้ เพราะสุดวิสัยสำหรับพวกเราที่มีกิเลสจะตามรู้ได้ เพียงแต่ธาตุดินที่อยู่ในส่วนร่างกายท่านผู้บริสุทธิ์กับอยู่ในตัวเราก็แสดงให้เห็นเป็นของแปลกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุได้อย่างประจักษ์ตา ส่วนร่างกายของพวกเราที่มีกิเลส แม้มีจำนวนล้าน ๆ คน ก็ไม่มีรายใดสามารถเป็นไปได้อย่างท่าน จึงควรเรียกได้ว่าท่านเป็นบุคคลที่แปลกต่างจากมนุษย์ทั้งหลายอยู่มาก จนเทียบกันไม่ได้ ยิ่งใจที่บริสุทธิ์ด้วยแล้วก็ยิ่งเพิ่มความประเสริฐและอัศจรรย์จนไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ มาเทียบได้เลย เป็นจิตที่โลกทั้งหลายควรเคารพบุชาจริง ๆ จึงต้องยอมบูชากัน”


          สำหรับตัวข้าพเจ้านี้แต่ก่อนนั้นเป็นคนอาภัพวาสนาน้อยจริง ๆ อย่างว่าแต่จะเคยได้เห็น ได้กราบพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่นเลย แม้แต่ชื่อของท่านข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยรู้จัก จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาต้นปี 2518 ข้าพเจ้ากำลังเริ่มมีประสบการณ์เกี่ยวกับเหรียญ วัตถุมงคลพระปาฎิหารย์ลอยมาปรากฎบนโต๊ะพระ พานดอกไม้บูชาพระ และแม้แต่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก็มีเหรียญ มีพระตกลงมา กำลังงงว่าควรจะทำตนอย่างไรเวลาพระลอยมา เผอิญขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังเป็นสมาชิกนิติบัญญัตินั่งประชุมอยู่ใกล้นายแพทย์อวย  เกตุสิงห์ จึงเรียนปรึกษาท่านเพราะเคยได้ยินชื่อว่า ท่านมีความรู้ทางด้านพระมาก คุณหมออวยถามว่าพระลอยมานั้น ลอยน้ำมาหรือ ข้าพเจ้าปฎิเสธท่านก็ว่าอยากได้แล้วมีคนนำมาให้ตรงกับที่อยากได้ใช่ไหม ข้าพเจ้าก็ปฎิเสธอีก และเมื่อเล่าให้ฟังว่า คำว่า ลอยมา” นั้นข้าพเจ้าหมายความเช่นไร คุณหมอก็ว่าแปลกจริงและพอถึงวันประชุมในอาทิตย์หน้าก็จะคอยถามว่า วันนี้มีอะไรลอยมาอีก” ซึ่งข้าพเจ้าก็จะรายงานให้คุณหมอฟังทุกครั้งว่าหลังจากวันประชุมครั้งสุดท้ายนั้น ต่อมามีอะไรลอยมาอีก


           วันนั้นพอถูกถามข้าพเจ้าก็ตอบว่า คราวนี้มีเหรียญใครไม่ทราบมี 2 หน้า เป็นพระหน้าหนึ่งชื่อ มั่น อีกหน้าหนึ่งชื่อ เสาร์” คุณหมออวยฟังแล้วก็บอกว่า น่ากลัวจะเป็นอาจารย์ของอาจารย์ผม อาจารย์ของผมท่านชื่อ อาจารย์ขาว อาจารย์ของท่านชื่อ ท่านอาจารย์มั่น และ อาจารย์ของท่านอาจารย์มั่น ชื่อ ท่านอาจารย์เสาร์ คุณไม่รู้จักหรือ ท่านทั้งสองเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อคนเคารพมากทางภาคอีสาน”


          ข้าพเจ้า….ผู้โง่ ผู้เขลา และผู้หลง ก็หัวเราะ บอกคุณหมออวยว่า โอ๊ย….คงไม่ใช่ท่านอาจารย์ที่คุณหมอว่า มีชื่อเสียงมากนั่นหรอกค่ะ ดิฉันไม่ทราบเหรียญใคร ดูเหมือนมีคำ ภูริทัต….ภูริทัต ติดอยู่ด้วย” 


             คุณหมอตกใจมาก ที่ทราบว่าข้าพเจ้าโง่เขลา ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูระทัตตะเถระ


จากนั้นมานั่นเอง ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องของท่าน อาจารย์ของท่านและก็ทึกทักเอาว่า ท่านทั้งสองคงนับเราเป็นศิษย์ เราจึงมีโอกาสได้เหรียญของท่านลอยมา และจากนั้นมา เมื่อได้ยินว่า มีศิษย์สายท่านอาจารย์มั่นมากรุงเทพฯ ก็ขวนขวายไปกราบให้เป็นมงคลและได้ติดตามไปกราบที่วัดของแต่ละองค์


               ได้เคารพ ได้เรียนรู้ ได้ฟังคำสั่งสอนจากท่านทุกองค์ ด้วยความเคารพรัก เลื่อมใสศรัทธาอย่างเปี่ยมหัวใจมาจนกระทั่งทุกวันนี้


                วันหนึ่งจำได้ว่าในปี 2521 ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ ได้ถามข้าพเจ้าว่า คุณสุรีพันธุ์ มีพระธาตุท่านอาจารย์มั่นหรือยัง” เมือเรียนท่านว่า ยังไม่มี ท่านก็ถามต่อด้วยความเมตตาว่า ถ้าจะให้ เอาไหม” ข้าพเจ้าตอบรับด้วยความยินดี ท่านก็บอก แบมือซิ


                  ความจริงก่อนหน้านั้น ท่านพระอาจารย์จวน เคยให้พวกเราได้ชมและกราบพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่นมาแล้ว แต่ก็เป็นเพียง เพื่อเป็นมงคล ให้เรายกขึ้นตั้งไว้บนเศียรเกล้าครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งมอบให้ข้าพเจ้า เพื่อทูนเกล้าทูนกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงบรรจุในพระเจดีย์วัดเวฬุวนาราม ที่ท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล สร้าง ณ จังหวัดพะเยา


                    ครั้งนี้ ท่านจะให้เราไว้บูชาเอง….ทำไมเราจะไม่ปิติยิ่ง


                    ข้าพเจ้ารีบชวนเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกคนหนึ่ง รีบแบมือรับ ท่านหยิบพระธาตุจากผอบของท่าน หย่อนลงมาในมือเพื่อนและข้าพเจ้าคนละ 1 องค์


                     ความที่มีนิสัยช่างตอแย และทราบว่าท่านอาจารย์สูงด้วยความเมตตา ปากจึงอดบ่นไม่ได้ แหมขออีกองค์ซีเจ้าคะ….ขอท่านอาจารย์มั่น” ข้าพเจ้ารีบแก้ตัว เมื่อเห็นท่านอาจารย์จวนมองเป็นเชิงตำหนิว่า….จะโลภละซี  ลูกขอท่านอาจารย์มั่น” ยืนยันด้วยใจระลึกถึงพระท่านอาจารย์มั่นจริง ๆ  ได้นะเจ้าคะ”


                     พอสิ้นคำ นะเจ้าคะ” ข้าพเจ้าเหลือบตากลับมามองพระธาตุในมือ ก็ปรากฎมีเพิ่มขึ้นอีก 1 องค์จริง ๆ จึงร้องขึ้นว่า เสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์มั่นให้แล้ว” ท่านอาจารย์จวนลุกขึ้นมาดู บ่นว่า ขอได้จริง ๆ อาตมาขาดทุน”  ท่านบอกว่าท่านมีพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่นอยู่หกองค์ เมื่อให้เรา 2  คน ๆ ละ  1 องค์ ก็ควรเหลือ 4 องค์ นี่คงเสด็จมาหาสุรีพันธุ์ไปอีกองค์หนึ่ง ท่านคงเหลือแค่ 3 องค์กระมัง


                       อย่างไรก็ดี เมื่อท่านเปิดผอบของท่านดูใหม่ ก็ปรากฎว่าส่วนที่เหลืออยู่ในผอบนั้น กลายเป็น 5 องค์ไป!


                      สำหรับพระธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ที่ท่านพระอาจารย์จวนให้ข้าพเจ้า 1 องค์ และกลายเป็น 2 องค์ ต่อหน้าท่านพระอาจารย์จวนนั้น เมื่อเก็บบูชาไว้ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นลำดับ จนมีเท่าปัจจุบันลักษณะส่วนใหญ่เป็นแก้วผลึกใสดุจเพชร


                                


พระธาตุท่านพระอาจารย์พรหม  จิรปุญโญ  วัดป่าบ้านดงเย็น


                     ข้าพเจ้าไม่มีบุญได้เคยได้กราบ หลวงปู่พรหม” เลย เพราะเมื่อเริ่มจะรู้จักกราบครูบาอาจารย์ ท่านก็มรณภาพไปแล้ว เคยได้ยินแต่เรื่องราวของท่านว่า เมื่อท่านบังเกิดความศรัทธาใคร่ออกบวช ท่านและภรรยาซึ่งเป็นผู้มีอันจะกิน ก็ได้ทานทรัพย์สินเงินทองทั้งวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณทรัพย์จนหมด ใช้เวลาแจกสมบัติอยู่หลายวัน ชีวิตของท่านและคู่ชีวิตฟังดูคล้ายกับชีวิตในสมัยพุทธกาลของท่านพระมหากัสสป เมื่อจะออกบวชอย่างยิ่ง


                     ท่านเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น รุ่นอาวุโสองค์หนึ่ง พระธาตุ หลวงปู่พรหม” นี้ครั้งแรก หลวงปู่บุญ ชินวังโส ได้นำมาให้ชมและกราบคารวะ ลักษณะกลมเล็ก เป็นสีเหลืองใสเหมือนบุษราคัม วันรุ่งขึ้นท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า เห็นพระธาตุหลวงปู่พรหมแล้วไม่อยากได้หรือ ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า อยากได้เหมือนกัน ท่านถามว่า เหตุใดจึงไม่ขอ มีแต่คนเห็นก็บอกขอท่านทั้งนั้น ข้าพเจ้าว่าไม่กล้าขอ เพราะคิดว่าพระธาตุนี้ ทุกคนย่อมรักและหวง ถ้าขอก็จะทำให้ผู้ถูกขอเกิดทุกข์ และผู้ขอก็คือผู้โลภ


                      หลวงปู่หัวเราะอย่างถูกใจ อาตมารออยู่ ว่าจะให้คนที่สมควรรับ สุรีพันธุ์เก็บไว้เถอะ” เมื่อข้าพเจ้าทำหน้าตื่นตกใจอย่างไม่เชื่อหู ท่านก็ว่า ให้จริง ๆ นะ” ข้าพเจ้าเก็บไว้บูชา อยู่ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดงคร่ำจนเกือบดำเหมือนสีโกเมน เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปทรงพระสุหร่ายรูปหล่อเหมือนท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ ณ วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) เมื่อ 30 มีนาคม 2526 ได้เตรียมจัดนำพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุของครูบาอาจารย์พรรณและสัณฐานลักษณะเต่าง ๆ ถวายให้ทอดพระเนตรและทรงสักการะ คืนก่อนเสด็จพระราชดำเนินระหว่างกำลังจัดเตรียมการ ได้มีพระธาตุปาฎิหาริย์เสด็จมาอีกองค์หนึ่งลักษณะกลมเลื่อม เป็นสีมุกดา


พระธาตุท่านพระอาจารย์คำ  ยสกุลปุตโต วัดป่าศรีจำปาชนบท


                     พระธาตุของหลวงปู่คำ ยสกุลปุตโต ไม่ค่อยเป็นที่ได้ยินข่าวในหมู่ศิษย์ที่เคารพพระธุดงคกัมมัฎฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เท่าไรนัก สำหรับพระธาตุของท่านที่ข้าพเจ้าได้มาบูชานี้ ได้รับความกรุณาจากท่านเจ้าอาวาสในปัจจุบันมอบให้มา ลักษณะเป็นเกล็ดเล็ก-ละเอียดดุจไข่ปลา สีขาว


                      ที่เคยเห็นของท่านดลวิทย์  ซึ่งเป็นหลานปู่ของหลวงปู่คำ มีขนาดใหญ่มาก เป็นก้อนใส สีเหลือง ดุจแก้ว งามมาก น่าเสียดายที่ความคิดที่จะจัดทำหนังสือพระธาตุของข้าพเจ้านี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่อาทิตย์นี้เอง เมื่อเรียนติดต่อท่านดลวิทย์ขอถ่ายภาพพระธาตุหลวงปู่องค์ที่ว่า ปรากฎว่าท่านฝากไว้ที่บ้านโยมแม่ของท่านที่สกลนคร การจัดทำหนังสือรอไม่ได้จึงพลาดโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย


                      เป็นที่น่าสังเกตุว่าพระธาตุของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ จะมีลักษณะหลายสัณฐาน และบางทีก็หลายสีด้วย


พระธาตุท่านพระอาจารย์อ่อน  ญาณสิริ  วัดป่านิโครธาราม


                     หลวงปู่อ่อน  เจริญเมตตาธรรมให้ข้าพเจ้าอย่างสูง จนข้าพเจ้าคิดว่าในชาตินี้ทำอย่างไรหนอ เราจะตอบแทนพระคุณท่านได้ให้สมกับที่ท่านเมตตาเรา ท่านเป็นองค์เดียวที่เรียกข้าพเจ้าว่า คุณหนู” และใช้คำแทนองค์ท่านบางครั้งว่า ปู่” การที่ท่านเรียกข้าพเจ้าว่า คุณหนู” นี้ ดูเหมือนจะเป็นที่ขบขันของผู้ได้ยินกันมาก เพราะอายุเราครึ่งศตวรรษไปแล้ว และบางคนในที่นั้น อายุอ่อนกว่าข้าพเจ้ามาก เป็น หนู” ของข้าพเจ้า แต่กลับเรียกเธอเหล่านั้นว่า คุณนาย! ท่านมาดูบ้านเรือนไทยที่ลาดพร้าวแล้ว ก็ออกปากว่า ปู่ชอบบ้านอย่างนี้มากทีสุด โปร่ง สบายดี


                 ท่านเมตตาถึงกับบอก  จะมาจำพรรษาให้ที่นี่นะคุณหนูนะ” หลวงปู่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ ทราบว่านอกจากหลวงปู่เทสก์แล้ว ท่านมีพรรษาสูงที่สุด สูงกว่า แม้หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว ---หรือหลวงปู่ฝั้น! ข้าพเจ้าได้ยินท่านปรารถเช่นนั้นจึงตกใจ เพราะคิดว่าบ้านไทยเรายังไม่พร้อมที่จะมีพระมาจำพรรษา โดยเฉพาะเป็นพระเถระผู้ใหญ่อย่างท่าน ท่านปรารถสองครั้งสามครั้งก็ยังนิ่งไม่กล้านิมนต์ ได้แต่นำความไปปรึกษาท่านพระอาจารย์วันและท่านพระอาจารย์จวน ว่าควรจะทำอย่างไร ท่านปรารถเล่น ๆ ล้อคุณหนูให้ตกใจหรือไม่” ข้อสำคัญข้าพเจ้าเกรงว่าตลอดเวลา 3 เดือนเข้าพรรษานั้น หากเด็กรับใช้บ้านเราเกิดลากลับบ้าน ทำให้หลวงปู่ไม่ได้รับความสะดวกจะลำบาก เราเคารพท่าน รักท่าน เทอดทูนท่าน ปรารถนาให้ท่านได้รับความสะดวกสบายตลอดเวลา หากมีอะไรผิดพลาดไปเราก็จะไม่สบายใจ เสียใจ


                    ท่านอาจารย์ทั้งสองบอกว่า ท่านไม่ได้พูดเล่นดอก ไม่เคยได้ยินว่าหลวงปู่พูดเล่น ท่านเมตตาคุณ----ให้คุณได้มีโอกาสได้บุญ ปรนนิบัติรับใช้ท่านต่างหาก นิมนต์เถอะ แต่เฉพาะท่านพระอาจารย์วันเตือนว่า แต่ระวัง อย่าให้ชาวอุดรเขาเสียใจนะ พูดกับเขาให้ดี” ชาวอุดรมีความเครารพรัก เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่อย่างมาก ดังนั้นเมื่อได้รับคำเตือนเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงลองซาวเสียง พบหน้าเพื่อนชาววัดทางอุดรก็ลองคุยดู ได้ยินเขาว่ากันว่า พรรษานี้ หลวงปู่ว่าจะไปจำพรรษากรุงเทพฯ ใครนะ----จะมานิมนต์หลวงปู่ของเราไป”


                   ใครนะ---ใครนะ ข้าพเจ้าตัวลีบเมื่อได้ยินเสียงซักถามกันดังนั้น บางครั้งก็เป็นพระภิกษุด้วยซ้ำ ทำให้แม้ต่อมาหลวงปู่จะถามว่า คุณหนูจะให้ปู่ไปจำพรรษาหรือยัง ครั้งใด ข้าพเจ้าก็จะต้องยิ้มแหย ๆ ว่า ยังไม่พร้อมเจ้าค่ะ” ทุกครั้งไป เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า---จนปีสุดท้าย คิดว่าปีนี้ละเราจะหาโอกาสรับใช้ท่านเสียที ถ้ามัวนอนใจไป ดูแต่ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์สิงห์ทองซี----! ท่านหนีเราไปหมดแล้ว! เราจะประมาทไม่ได้เลย แต่เราก็ประมาทไปจริง ๆ เพราะปีนั้นเอง---เดือนพฤษภาคม ปี 2524 นั้นเอง หลวงปู่ก็มรณภาพ


                 มีงานถวายเพลิงศพท่านในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2525 รุ่งขึ้นวันที่ 1 มีนาคม ข้าพเจ้ารีบตื่นแต่เช้า ยังไม่ทันสว่างไปที่เมรุ ปรากฎว่าที่เมรุมีการเก็บกวาดเรียบไม่เหลือแม้แต่ผงดิน ได้ความว่า เมื่อเผาจริงแล้ว ทางวัดก็เก็บอัฐิและอังคารเสร็จแต่กลางดึก ข้าพเจ้ากลับมาเรียนถามท่านพระอาจารย์สีนวล ถึงเศษผงถ่านที่เหลือ เผื่อทางวัดจะกรุณาให้ลูกศิษย์ไปบูชาบ้าง ท่านตอบว่านอกจากอัฐิแล้ว แม้แต่เศษผงถ่านทางวัดก็ต้องเก็บไว้หมดเหมือนกัน ข้าพเจ้าจีงชวนเพื่อน ๆ  กลับไปที่ลานเมรุอีกครั้งหนึ่ง คุยเล่น ๆ ว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปอธิษฐานขอที่เมรุก็แล้วกัน ขอเศษผงถ่านท่าน หลวงปู่คงให้เราหรอก ความจริงถ้าหลวงปู่ยังอยู่ เราขอคำเดียว อย่าว่าแต่ผงถ่านผงดินเลย แม้อัฐิหลวงปู่ก็ต้องให้ หลวงปู่เมตตาเรา!” พูดกันแล้วก็หัวเราะกันว่า พูดไปได้ว่าถ้าหลวงปู่ยังอยู่---!ก้อถ้าหลวงปู่ยังอยู่ จะมีอัฐิท่านได้อย่างไร พวกเราได้เศษดิน เศษผงที่เมรุมาเก็บบูชาไว้ด้วยความเคารพรักอย่างสูงสุด ต่อมาถึงเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ได้ลองเปิดผอบขึ้นดู เห็นปรากฎรวมตัวเป็นพระธาตุ จำนวน 4 องค์ ครั้นถึงเดือนตุลาคม เปิดดูอีกครั้งเพิ่มเป็น 7 องค์ เช่นเดียวกับพระธาตุหลวงปู่พรหม เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาภูทอก 30 มีนาคม 2526 ระหว่างเตรียมจัดพระธาตุถวายให้ทอดพระเนตรและทรงสักการะพระธาตุได้ปาฎิหาริย์มาให้ตลับพระธาตุหลวงปู่อีก 1 องค์ ลักษณะกลมเป็นแก้วใสประดุจเพชร


พระธาตุท่านพระอาจารย์ขาว อนาลโย  วัดถ้ำกลองเพล


          หลวงปู่ขาว เป็นศิษย์ผู้ใหญ่อีกองค์หนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ที่เมตตาธรรมของท่านซึ่งแผ่ให้ประดาบุคคลที่ไปกราบคาระท่าน นั้นใหญ่หลวงนัก ข้าพเจ้าได้เคยบันทึกเหตุการณ์บางช่วงบางตอนที่บังเอิญได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้ประสบพบเห็นไว้แล้ว ในข้อความเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งคือ อนาลโยคุโณ ในหนังสือ อนาลโยปูชา ซึ่งพิมพ์แจกในงานกฐินวัดถ้ำกลองเพล เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2527 ที่ผ่านมา ในทีนี้จึงขอกล่าวเฉพาะเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องอัฐิธาตุของหลวงปู่เท่านั้น


          ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ เมื่อวันเสาร์ที่  11 กุมภาพันธ์ 2527 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีนั้น ปรากฎว่าวัดถ้ำกลองเพลซึ่งมีอาณาบริเวณหลายพันไร่ กลับแคบเล็กไปถนัดใจ ประชาชนจากทั่วทุกทิศานุทิศได้หลั่งไหลกันมาถวายสักการะสรีระร่างของท่านผู้ทรงศีลวิสุทธิเป็นคำรบสุดท้ายนับจำนวนหลายแสนคน เป็นประวัติการณ์สูงสุดของประเทศ


           โดยที่ข้าพเจ้าทราบว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เก็บรักษาอัฐิของหลวงปู่รวมไว้ในที่เดียวกัน เพื่อจัดสร้างเจดีย์สำหรับเป็นที่สักการะของประชาชนไว้ ณ บริเวณหลังถ้ำกลองเพล รุ่งขึ้นจากวันถวายเพลิง ข้าพเจ้าจึงไปกราบที่เมรุเป็นครั้งสุดท้ายอย่างไม่รีบร้อนอะไร เพราะคิดว่าทางราชการและทางวัดคงจัดเก็บอัฐิและอังคารผงถ่านไปหมดแต่กลางดึกแล้ว หน้าที่ของข้าพเจ้าขณะนั้นมีเพียงไปดูความเรียบร้อยของการขนย้ายเต๊นท์และเก้าอี้ ส่วนที่พวกเรานำไปจัดตั้งไว้แต่เมื่อวันวานต่างหาก


            อย่างไรก็ดีเมื่อไปถึงเมรุ ก็ได้เห็นเศษผงถ่านยังมีเหลือบ้าง และเห็นเศษอิฐิเล็กกระเด็นตกอยู่ข้างนอก จากประสบการณ์ที่ศึกษาเรื่องอัฐิธาตุท่านพระอาจารย์จวน ทำให้ข้าพเจ้าเกือบจะรู้จัก อัฐิ” หรือ เศษปูน” สำหรับโบกเมรุเป็นอย่างดี


             ตอนสายระหว่างทางกลับมาเต๊นท์ที่เราไปตั้งโรงอาหารเลี้ยงผู้ไปในงาน พบเพื่อนคนหนึ่งเดินอยู่ รับขึ้นมาบนรถ (ทางยาวเป็นกิโล ๆ) เธอก็กรุณาแบ่งอัฐิที่เธอไปแย่งเก็บมาได้ในตอนเช้าให้ข้าพเจ้าอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งต่อมาข้าพเจ้าก็นำเก็บไปบูชา


              ต่อมาเมื่อมีภาระต้องเร่งจัดทำหนังสือ อนาลโยปูชา” ดังกล่าวข้างต้น โดยที่เพิ่งเริ่มคิดจะทำหนังสือเพียงประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนวันงานกฐิน เพราะบังเอิญไปพบภาพปาฎิหาริย์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาวเข้า (ความละเอียดในหนังสืออนาลโยปูชา) การจัดทำหนังสือจำนวน 12,000 เล่ม พร้อมภาพ 4 สีอีก 1 ยกเศษ ให้เสร็จ พร้อมไปแจกที่วัดถ้ำกลองเพลจังหวัดอุดรธานี ในเวลา 7 วัน ! แม้จะได้รับความร่วมมือจากโรงพิมพ์เพียงไร ก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างที่สุด โดยเฉพาะส่วนที่จะเป็น อนาลโยคุโณ” นั้น เมื่อโรงพิมพ์เร่งทวงว่าต้นฉบับอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าก็ต้องตอบว่าอยู่ที่นี่ แล้วก็เอามือชี้ที่ศีรษะตนเอง


                 ทั้งเลือกต้นฉบับเทศน์หลวงปู่---ตรวจบรู๊ฟ---เลือกภาพประวัติ---ส่งไปแยกสี---เขียนคำบรรยายภาพ ตรวจความเรียบร้อย คำบรรยายภาพต้องตรงกับภาพ และวางในที่เหมาะสม หากหถ้อยคำบรรยายมีเกินเนื้อที่ว่างไว้สำหรับเขียนคำบรรยาย ก็ต้องเขียนใหม่---สาระพัดงานที่จะต้องทำ---รวมการนั่งลงเขียนอนาลโยคุโณด้วย!


                  ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเลย ที่ทุกคืนพวกเราจะแทบไม่ได้นอนเลยตลอดอาทิตย์ และจะพูดกันอย่างขัน ๆ ว่า อาทิตย์นี้-(เวลา 7 วัน!) เราได้นอนตั้ง 6 ชั่วโมงบ้าง 7 ชั่วโมงบ้าง!” โดยเฉพาะข้าพเจ้าซึ่งต้องตระเวนส่งเพื่อนรุ่นน้องที่กรุณาช่วยทำหนังสือ กลับมาถึงบ้านเป็นคนสุดท้าย!


                 คืนสุดท้ายที่หนังสือจะเสร็จ นำส่งไปอุดร ข้าพเจ้าจะล้มตัวลงนอนแล้ว ได้นึกรำพึงว่า เราเหนื่อยแทบจะขาดใจ ที่ทำหนังสือถวายบูชาพระคุณหลวงปู่เล่มนี้ หลวงปู่จะรู้ไหมหนอ ว่าลูกเหนื่อย เหนื่อยจริง ๆ ไม่มีใครใช้ ไม่มีใครสั่ง แต่เราก็อยากทำให้ดีที่สุด ให้พระบารมีและพระคุณานุคุณของหลวงปู่เจิดจ้ากระจ่างแก่ปวงคนไทย หลวงปู่จะรู้ไหมหนอ ว่า ลูกเหนื่อยแทบขาดใจทีเดียว


                 คืนนั้นคิดอย่างไรไม่ทราบ แทนที่ข้าพเจ้าจะล้มตัวลงนอนตามความรู้สึกที่แสนเหนื่อยและเพลีย กลับยกถาดที่ใส่อัฐิหลวงปู่ขึ้นมาตั้งและกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นตามองไปที่จานแก้วที่ปกติใส่ดอกมะลิบูชาอัฐิหลวงปู่ ดอกมะลินั้นแห้งแล้ว บางส่วนกรอบจนเป็นผงป่นสีน้ำตาลแก่ เห็นแสงระยิบระยับสีขาวปลาบปนอยู่กับดอกมะลิที่แห้งกรอบนั้น ดูไหวตัวจนคิดว่าเป็นแมลงหรือหนอนแทรกอยู่จึงเขี่ยดู


                 ปรากฎเป็นพระธาตุลักษณะงามมากหลากสี หลากสัณฐานจึงช้อนขึ้นมาใส่มือนับได้ 9 องค์ ระหว่างที่นึกขึ้นมาใส่มือนับได้ 9 องค์ ระหว่างที่นึกชื่นชมด้วยความปิติเพราะพระธาตุทุกองค์เป็นเงาเลื่อมงามจริง ๆ มีทั้งสีขาว สีมุกดา สีทองอุไร --- มองไปที่จานแก้วใส่ดอกไม้อีก เห็นพระธาตุเพิ่มใหม่อีก 3 องค์ ก็ช้อนมาใส่อุ้งมือ นับรวมกับของเก่าในมือได้  12  องค์นึกว่าท่านช่างงามจริง ๆ ---แต่เมื่อมองกลับไปที่จานแก้ว อ้าว---ท่านขึ้นมาอีก  3 องค์ ตักขึ้นมาใส่มืออีก นับทวนเป็นทั้งหมด  15 องค์! ลักษณะงามทุกองค์


                  จึงคิดว่าพอแล้ว---16 องค์พอแล้ว  เป็นโสฬสแล้ว ข้าพเจ้ากราบหลวงปู่ด้วยความรู้สึกปิติ ชื่นใจหายเหน็ดเหนื่อย ความง่วง  ความเพลียที่เคยรู้สึกมาทั้งอาทิตย์ ดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง กลับรู้สึกแช่มชื่น มีกำลังวังชา ไม่ง่วงเลย รุ่งขึ้นนำไปให้เพื่อน ๆ ที่ทำงานชื่นชมกันว่า พระธาตุเสด็จ หลวงปู่ส่งมาปลอบเราให้หายเหนื่อย ---(ขอโทษเราบังอาจพูดกันเช่นนั้นจริง ๆ !) แต่วิสัยคนขี้สงสัยก็บ่นกันอีก จริงอยู่ เป็นพระธาตุนั้นแน่แล้ว แต่ว่าเป็นพระธาตุใคร? ลักษณะเหมือนพระบรมสารีริกธาตุ แต่จะว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เหตุใดมาปรากฎในจานดอกมะลิบูชาหลวงปู่? และ---ถ้าจะว่าเป็นพระธาตุหลวงปู่----เหตุใดลักษณะคล้ายเมล็ดพันธุ์ผักกาด ซึ่งเป็นลักษณะพระบรมสารีริกธาตุ---? (เดิมข้าพเจ้าเข้าใจว่า พระธาตุลักษณะเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งหมดเป็นพระบรมสารีริกธาตุ)


                  ระหว่างเขาเถียงกันอยู่อย่างไม่ตกลงกันได้ ก็มีเส้นเกศาสีขาวเส้นหนึ่งปรากฎขึ้นทันทีในตลับใส่พระธาตุ ซึ่งปิดฝาแน่นอยู่ จึงร้องขึ้นว่า เส้นเกศาหลวงปู่เสด็จแล้ว! คงเป็นพระธาตุชองหลวงปู่แน่---! วันรุ่งขึ้นหนังสือเสร็จนำไปวัดถ้ำกลองเพล คืนวันฉลองกฐิน และได้ถวายหนังสืออนาลโยปูชา พระธาตุและเส้นเกศา ให้พระเณรวัดถ้ำกลองเพลชม ท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง และท่านพระอาจารย์จันทา พิจารณาพักใหญ่และรับว่าเป็น พระธาตุหลวงปู่ขาว อนาลโย จริง!!


พระธาตุพระอุดมสังวรวิสุทธิเถระ (วัน อุตตโม) วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม


                  พระอุดมสังวรวิสุทธิเถระ หรือที่พวกเราศิษย์คุ้นกับท่านมากกว่าในนามของ ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม และต่อไปก็จะขอประทานใช้ชื่อสั้น ๆ เพียง ท่านอาจารย์วัน นี้ ปกติท่านมักจะมีภารกิจนิมนต์มากที่สุดองค์หนึ่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าคราวหนึ่ง เราต้องส่งรถไปรับท่านมางานฉลองโบสถ์ที่เขื่อนน้ำพอง ได้ทราบว่า ท่านฉันเช้าแล้วรับนิมนต์ไปเจิมร้านที่สกลนคร ต่อมาสวดมนต์เย็นที่อุดร จากนั้นวิ่งรถมาขอนแก่น เข้าไปถึงวัดพระบาทภูพานคำ บนยอดเขาใกล้เขื่อนอุบลรัตน์ตีหนึ่ง และท่านก็ตรงไปที่มณฑลพิธี สวดมนต์ให้ต่อไปจนสว่าง!


               ถ้าท่านไม่มากไปด้วยความเมตตาต่อประดาศิษย์ ท่านก็คงไม่ยอมทรมานสังขารร่างกายของท่านปานนั้น ท่านคงจะทราบว่า เวลา”  ที่ท่านจะอยู่ โปรด” พวกเรานั้นสั้นนัก การจะกราบท่านอาจารย์ เพียงแต่รอฟังข่าวว่า ท่านจะไปวัดใด ฉันบ้านใคร ในวันใด แล้วเตรียมไปรอ หากไม่ไปรอล่วงหน้าคิดว่า ตอนเย็นท่านคงอยู่---หลังฉันเช้าสักหน่อย--- เราค่อยไปก็ทันมักจะพลาดหวัง ต้องวิ่งตามไปจุดใหม่เรื่อย ๆ ---เรื่องเช่นนี้เป็นประสบการณ์ของข้าพเจ้าเมื่อได้กราบเป็นครั้งแรก


                 จำได้ว่าเป็นเวลาปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 เราตามหาท่านจากวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม---เราตามหาท่านจากวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม---ไปตามวัดต่าง ๆ ที่เขาว่าท่านอาจารย์ใหญ่ก็เพิ่งกลับไป” กระทั่งๆได้กราบท่านสมใจ  ที่วัดป่าหนองดินดำ


                 ประหลาดที่ในวันนั้น เพิ่งพบศิษย์ใหม่เป็นครั้งแรก ท่านก็เมตตาให้พระธาตุแก่ศิษย์ผู้แสนจะไม่ประสีประสาในเรื่องพระธาตุเลย 1 องค์ และลูกสาวศิษย์คนนั้นอีก 1 องค์ (ซึ่งปัจจุบันนี้พระธาตุ 2 องค์ มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก) พระหลายองค์พอทราบยังวิจารณ์ว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่าท่านจะให้พระธาตุใครมาก่อน คุณโชคดีมาก ปี 2518 พระธาตุยังไม่ปรากฎมากและเสด็จมาให้เราได้กราบบูชามากเช่นระยะหลังนี้ เรายังไม่ลืมว่าดูเหมือนจะเป็นปี 2519  หรือ 2520 แล้ว ที่ท่านอาจารย์วันจะมอบพระบรมธาตุไปบรรจุที่พระประธานวัดหนึ่ง จำนวนเพียงร้อยกว่าองค์ ถึงกับมีขบวนแห่ ฟ้อนรับกันอย่างมโหฬาร การได้รับพระธาตุจากท่านในวันนั้น จึงเป็นมงคลอย่างยิ่ง


วันนั้น---ได้มีเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับท่าน และวันต่อมาก็มีอีก อันที่จริงเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับท่านอาจารย์ที่ข้าพเจ้าบังเอิญได้เกี่ยวข้อง ได้ยินได้ฟัง ได้พบเห็นกับตัวเองนั้น มีมากจนประมาณว่า หากจะบันทึกไว้ก็คงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้ วันนี้จึงจะขอบันทึกเฉพาะเรื่องพระธาตุของท่านเท่านั้น


หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี พระราชทานเพลิงศพท่านอาจารย์ ณ เมรุวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ในวันที่ 25 เมษายน 2524 แล้ว ไม่กี่เดือนต่อมาก็ได้ข่าวว่า อัฐิของท่านเริ่มแปรเป็นพระธาตุ โดยเฉพาะถ้าใช้แว่นขยายส่องจะเห็นส่วนที่เริ่มเป็นหินปูน หรือแก้ว


                 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบอัฐิธาตุของท่านที่วัดหลายครั้ง ครั้งหลัง จำได้ว่าวันที่ 29 มกราคม 2525 ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอาจารย์ทองสุก สุกกธัมโมว่า จะขออนุญาตไปที่เมรุ เผื่อจะได้ผงถ่านไปบูชา ท่านหัวเราะแล้วว่า เวลาผ่านไปเก้าเดือนแล้ว จะมีอะไรเหลือ แต่ก็ลองดูซี


                 แล้วท่านก็กรุณานำข้าพเจ้าไปที่เมรุ จริงของท่าน --- เรียบ โล่งไปหมด ชาวบ้านเก็บกวาดไป เขาแทบจะไม่ให้เหลือแม้ภัสม์ธุลี ---!


                 ท่านอาจารย์บอกให้ลองอธิษฐานดู ข้าพเจ้าจึงว่า ถ้าหากขอพระธาตุ (ซึ่งในระยะนั้น พระธาตุยังไม่มีสภาพอันสมบูรณ์ ส่วนใหญ่จะดูคล้ายกรวดเล็ก ๆ ธรรมดาเท่านั้น) ก็จะมีความสงสัย ว่าใช่พระธาตุหรือไม่ สู้ลองขออัฐิท่าน ให้มากลายเป็นพระธาตุให้เราเห็น ดูจะดีกว่า


                 ท่านอาจารย์ทองสุกหัวเราะแล้วว่า ตามใจ คุณลองดูซี


                 ข้าพเจ้าไปยืนพิศดูพักหนึ่ง จึงมองเห็นระหว่างซอกอิฐที่ก่อเป็นผนังเมรุ มีอะไรขาวชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งแทรกอยู่ พิจารณาดูคล้ายอัฐิ ลองหาไม้แหลมมาเขี่ย แทนที่จะออกมา กลับตกลึกลงไปในซอกมากเข้าทุกที


                 ท่านอาจารย์ทองสุกบอกให้ ลองอธิษฐานเชิญออกมา


                 ข้าพเจ้าจึงทำตาม และแบมือรออยู่ข้างหน้า พยายามใช้ไม้ปลายแหลมเล็กเขี่ยเป็นครั้งสุดท้าย นึกว่า ถ้าท่านตกลงไปอีกครั้งก็ต้องไปติดอยู่ในซอกอิฐ ไม่มีทางจะได้แน่นอน


                 อย่างไรก็ดี สิ่งที่เหมือนอัฐิชิ้นนั้น ก็หลุดออกมาจนได้เห็นเป็นสีขาวลอยข้ามศีรษะข้าพเจ้าไปตกข้างหลัง  ข้าพเจ้ารีบเอี้ยวตัวหันไปมองหา แต่ก็ผิดหวัง ในที่ลานเมรุตรงนั้นว่างเปล่าไม่มีเลย


                 กำลังถอนใจ ว่า หมดหวัง แต่เมื่อเหลือบมาดูในมือซ้ายที่ยังแบอยู่ ก็ต้องอุทานว่า


                 เอ๊ะ ท่านกลับมาอยู่ในมือเราได้อย่างไรเจ้าคะ!”


                 เมื่อกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ อัฐินั้นได้กลายเป็น 2 องค์เก็บไว้บูชา ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระธาตุในภายหลังหลายองค์


                 และเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปภูทอกเมื่อ 30 มีนาคม 2526 ระหว่างจัดเตรียมพระธาตุถวายให้ทอดพระเนตร ในตลับพระธาตุท่านอาจารย์วัน ปรากฏมีเส้นเกศาขึ้น 1 เส้น และขณะกำลังตื่นเต้นชร้ให้ดูเส้นเกศานั้น ก็มีเส้นเกศาปรากฏใหม่ขึ้นให้เห็นกับตาอีก 1 เส้น รวมเป็น 2 เส้น


                 อ่านมาถึงตรงนี้ ก็ขอพักชั่วคราวไว้ก่อนนะครับ ค่อยมาอ่านกันใหม่ในเดือนหน้า ซึ่งตอนหน้าประสบการณ์ของคุณป้าก็จะจบพอดี ผมจะได้เริ่มเล่าประสบการณ์ของผมในตอนต่อไป ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านเทอญ…….


 


 


 


    


                       


 


                       


 


 


         


โกสินทร์


ควายธนูหลวงพ่อพรหม ขันติโก วัดบ้านสวน อ.ควนขุนุน จ.พัทลุง รับเมื่อ 19 กค.56 . . . ซื่อซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของควายธนูหลวงพ่อพรหม ขันติโก ตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายในตู้วัตถุมงคลของวัด

โกสินทร์


วัวธนูครูบาดวงดี ยติโก วัดบ้านฟ่อน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ รับเมื่อ 10 กค.56 รหัส 99 . . . อู่ซีโร่ซีโร่ เมื่อวันที่ 19 เมย.56 ผมได้ติดต่อไปทางวัด พระที่รับสายแจ้งว่าไม่มีเวลาพูดด้วย ให้โทรมาใหม่ ซึ่งค่าบูชาในขณะนั้น 199 บาท หลังจากนั้นผมก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย ต่อมาผมได้ไปเช่าจากศูนย์วัตถุมงคล ค่าบูชา 500 บาท สงสัยรหัส 99 เป็นเลขมงคลทำให้มีราคาสูง

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของวัวธนูครูบาดวงดี ยติโก

โกสินทร์


วัวธนูหลวงพ่อรักษ์ อนาลโย วัดสุทธาวาสวิปัสสนา อ.ลาดบัวขาว จ.พระนครศรีอยุธยา รับเมื่อ 3 สค.56 . . . อู่ซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของวัวธนูหลวงพ่อรักษ์ อนาลโย

โกสินทร์


หมาพยนต์ สุนักขา พระอาจารย์โอ พุทธรักษา พุทธสถานวิหารธรรม อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ รับเมื่อ 24 ตค.56 . . . ซานซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของหมาพยนต์ สุนักขา พระอาจารย์โอ พุทธรักษา

โกสินทร์


ควายธนูรุ่น 1 ครูบาเดช กิตติญาโณ สำนักสงฆ์ป่าช้ารัตนโกสินทร์ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง รับเมื่อ 28 พย.56 . . . เอ้อจิ่วจิ่ว

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของควายธนูรุ่น 1 ครูบาเดช กิตติญาโณ

Page : 1
Webboardแสดงความคิดเห็น
เยี่ยม   แย่   แย่   แย่   เขิน   หยอกล้อ  ตกใจ  ร้องไห้   สงสัย   ขอโทษ   หดหู่   อย่าน่ะ   ต่อว่า   โอเค
รูปภาพ
(นามสกุลไฟล์ควรเป็น [ jpg , jpeg , gif ] และไฟล์ไม่เกิน 3 MB.)
*ชื่อ
*สถานะ  
*อีเมล
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
*รหัสยืนยัน

หมายเหตุ : : กรุณากรอกข้อมูลที่มี * ทุกช่อง

 


 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด

 เสริมดวงออนไลน์ By jack kumanthong

 www.facebook.com/jackkumanthong

 
view