ก่อนที่จะอ่านเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านเรื่องเล่าจากโกสินทร์ 1 ของวันที่ 15 ส.ค. 51 ก่อนครับ เพราะเรื่องราวมันต่อเนื่องกัน ตอนที่แล้วในเรื่องเล่าจากโกสินทร์ 1 ผมเล่าว่ารักยมของพระอาจารย์บัวทะเลาะกับกุมารทองของคนเล่นกลในความฝันนั้น ผมกลับไปอ่านบันทึกใหม่ เพื่อที่จะหาข้อมูลมาเล่าในภาคปัจจุบันนี้เลยทำให้เห็นว่าอันที่จริงรักยมของพระอาจารย์บัวทะเลาะกับรักยมของอาจารย์เคนครับ รักยมของอาจารย์เคนผมได้มาจากสายชล วันหนึ่งเขาเอาขวดรักยมมาอวดและเปิดฝากสีดำออก ด้านในจะเป็นฝาพลากติกใส เขาก็นำไปกำไว้ในมือพร้อมกับว่าคาถาปลุกเสก สักพักฝาพลาสติกใสนั้นก็เผยอขึ้นมาจากขวด เป็นที่อัศจรรย์ทั้งตาและใจ ผมสงสัยว่ามันเกิดจากความร้อนที่เรานำไปกำไว้ในมือตอนสายชลปลุกเสกหรือเปล่า ก็ทดลองเอาขวดรักยมไปกำไว้เฉย ๆ ฝาขวดพลากติกไม่ขึ้น แต่พอปลุกเสกคาถากลับขึ้น
เห็นดังนั้นผมก็สนใจอยากจะได้บูชาขึ้นมาอีก สายชลก็ไปเช่ามาให้ ทราบว่าเป็นของลุงแก่ ๆ แกขายพระริมบาทวิถีแถวเชิงสะพานพระโขนง ผมรับมาบูชาเมื่อ 9 ม.ค. 2519 ผมนำมาปลุกเสกแบบสายชล ฝาขวดพลาสติกไม่ขึ้นเลย ใช้เวลาพอสมควรถึงจะมีความสามารถแบบสายชลได้ ต่อมาเมื่อผมย้ายตามพ่อแม่ไปอยู่ที่จังหวัดช้าง ทางบ้านเขาจะไปหาหลวงพ่อพลาย ผมเลยถือโอกาสนำรักยมของอาจารย์เคนไปให้หลวงพ่อพลายตรวจสอบ อีกองค์หนึ่งเป็นของหลวงพ่อจั๊ว วัดบางพึ่ง สำหรับกุมารทองทองของหลวงพ่อจั๊ว ผมไปรับมาจากมือหลวงพ่อเลย เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2519 ค่าบูชาพ.ศ.นั้น 100 บาท หลวงพ่อจั๊วบอกว่า กุมารทองของท่านเรียกอย่างชื่อว่าเทพาน้อย สร้างเมื่อ พ.ศ. 2518 ตอนที่ผมไปรับกุมารทองของผมก็มีอายุได้ 1 ปี ย่างเข้า 2 ปี หากกุมารทองมีอายุครบ 50 ปี จะต้องนำไปให้หลวงพ่อจั๊วปลุกเสกใหม่ หากให้หลวงพ่อองค์อื่นปลุกเสกจะกวนเด็ก วิธีเลี้ยงก็ให้ข้าวไว้ต่างหากหรือจะเรียกกินพร้อมกับเราก็ได้ ใช้ดอกมะลิถวาย ตั้งแต่ผมเลี้ยงกุมารทองของหลวงพ่อจั๊ว เห็นเงียบ ๆ เลยนำไปให้หลวงพ่อพลายตรวจสอบ ตกลงวันนั้นผมนำกุมารทองของอาจารย์เคนชนิดใส่ขวด และกุมารทองหลวงพ่อจั๊วชนิดปั้นเป็นองค์ทำด้วยดินสีดำ
หลวงพ่อพลายตรวจสอบกุมารทองชนิดเป็นองค์ โดยใช้ก้านธูปวัดเข่าทั้งสองข้างของกุมารทอง ทำเครื่องหมายไว้ แล้วนำไปวัดโดยใช้ก้านธูปตั้งฉากวัดจากหน้าตักกุมารทองปรากฎว่าปลายธูปอีกด้านไปตรงกับปากของกุมารทองพอดี หลวงพ่อพลายก็บอกว่าลาภที่ผมได้มาเท่าไร กุมารทองกินหมด แม่ผมได้ยินดังนั้น ก็เลยบอกถวายหลวงพ่อทั้งสององค์เลย ผมได้แต่น้ำตกตกข้างใน ไม่กล้าปฎิเสธผู้เป็นแม่ ทำลายน้ำใจน้อย ๆ ของรักของหวงของลูกซะแล้ว ถึงแม้นว่ากุมารทองทองจะไม่แสดงอะไร ผมก็จะเก็บไว้ไม่เอาไปให้ใคร ลูกของเราเราก็รักษาเขาไว้ แต่เมื่อแม่เอ่ยปากโดยไม่ถามผมเลย ผมก็จำใจปฎิบัติตาม
ตอนที่รักยมของพระอาจารย์บัวมาเข้าฝันบอกผม ช่วงนั้นผมก็เลี้ยงวัวธนูทรงเครื่องของหลวงพ่อแสนเมืองอยู่ คือผมเริ่มเลี้ยงวัวธนูเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2518 ตอนแรกเลี้ยงไม่เป็นเอาไปวางไว้เฉย ๆ บนหิ้ง จนกระทั่งเช้าวันที่ 26 ธ.ค. 2518 ผมได้ยินเสียงร้องของวัว ตอนนั้นผมพักที่โพธิ์สามต้น ใกล้กับธนาคารออมสินสาขาเจริญพาสน์ ฝั่งธนบุรี แล้วมันเป็นบ้านคนทั้งนั้น ไม่มีป่าเลย แล้วเสียงวัวร้องมันมาจากไหน ผมก็นำประสบการณ์แปลก ๆ นี้ไปปรึกษากับอาจารย์ประคองศักดิ์ อาจารย์สอนวิชาภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแกก็เป็นเซียนพระคนหนึ่ง แกก็บอกว่าการเลี้ยงวัวธนู ต้องทำคอกให้อยู่ และนำหญ้า และน้ำมาถวาย ผมเลยมาคิดดูว่าเป็นไปได้มั้ยที่ผมได้ยินเสียงวัวร้อง คงเป็นสิ่งบอกเหตุบางอย่างที่วัวธนูต้องการจะติดต่อกับผม อีกทางหนึ่งผมก็นำเรื่องที่เกิดขึ้นเขียนจดหมายไปปรึกษากับทางวัดของหลวงพ่อแสนเมือง แต่ค้นจดหมายตอบจากทางวัดไม่พบ เลยไม่ทราบว่าทางวัดให้คำแนะนำมาอย่างไร ไว้ค้นพบเมื่อไหร่ค่อยเอามาแจ้งข่าวอีกทีนะครับ
ที่เล่าเล่าประสบการณ์วัวธนูนี้เพื่อเป็นกรณีศึกษาเรื่อง หากเรานำสิ่งอาถรรพณ์มารวมกับรักยม กุมารทอง เขาจะไม่แสดงฤทธิ์ แต่ของผมหิ้งรักยม และหิ้งวัวธนู อยู่ใกล้ ๆ กันเลย แต่รักยมเขาก็ยังมาเข้าฝันบอกเหตุเตือนภัยร้ายล่วงหน้าได้ เพราะผมเลี้ยงวัวธนูเมื่อ 11 ธ.ค. 2518 แต่รักยมของพระอาจารย์บัวมาเข้าฝันบอกเหตุร้ายเมื่อ 13 ม.ค. 2519 หลังจากนั้นเมื่อ 16 ม.ค. 2519 ผมก็นำวัวธนูของหลวงปู่คำแสน มาเลี้ยงอีก ของหลวงปู่คำแสนนี่เป็นรุ่นที่ 2 แล้วเพราะรุ่นหนึ่งผมไปช้า เขาจองกันหมดแล้ว
ไว้วันหลังเมื่อผมพร้อมจะนำรูปของวัตถุมงคลแต่ละชนิดมาให้ดูกันในแต่เรื่องที่ผมเล่ามา ยังมีอีกมากครับเรื่องราวที่ผมประสบมาไว้สัปดาห์หน้ามาอ่านใหม่ ผมจะมาเล่าเรื่องสัปดาห์ละครั้งครับ
ง