ที่สำคัญอันเป็นข้อต่อคือ ท่านให้เสกเหล้ากิน
เป็นวิชาอาพัดเหล้านั่นเอง พอจะเห็นความเกี่ยวพันกันหรือยัง
(นางพิม,ครู..ใหญ่ ก็นิยมสักที่ต้นขา พระศรีฯก็เอาผ้ายันต์ผูกต้นขาเช่นกัน จนเกิดวลี”ผูกต้นขาขึ้นหาสาว)
สำแดงของวิชาผู้นั้นจะแสดงท่าทางเอนเอียงยืนไม่ตรง ดังพระสะแร่งแง่ง (ไม่รู้เพราะวิชา หรือเมาเหล้า)
ที่มาของพระสะแร่งแง่ง
ที่เขาว่าพระสะแร่งแง่ง ต้องเดินเอียง นั้น แสดงว่าต้องมีต้นแบบแน่นอน!
ถ้าวิชานี้เป็นของเขมรจริง เราลองไปใกล้เขมรให้มากขึ้นอีกดีกว่า!
อัตตะปือ เป็นแขวงหนึ่งในประเทศลาว ติดกับแขวงจำปาสัก
ถิ่นนี้ลาวเขาเชื่อว่าเป็นแดนแห่งไสยศาสตร์ มนต์ดำ อุดมด้วยยาสั่ง
“ถนำปะปุล” เพราะใกล้แดนหมอผีเขมรนี่เอง
พบคนเฒ่าบางคนมีวัตถุประหลาด ถักลวดไว้ติดตัว รูปร่างเหมือนเขียด บิดเบี้ยว เขาเรียกว่า” สะแร่งแง่ง” ถามถึงที่มาก็ทราบว่า
ต่อแดนเขมร(ลาวว่าเป็นที่ของลาว)ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีเทวาลัยเก่า
จำพวกปราสาทหิน มีรูปจำหลักรูปหนึ่ง เป็นนางอัปสร หรือเทวีอะไรสักอย่าง เธอทัดดอกไม้ที่หู ทำนาฎลีลาอยู่ ขาของเธอแยกออก (เหมือนโก่งขา)ยกขาขางนึงสูงกว่าพื้นนิดหน่อย
รูปสลักหินนี้วางเอนกับพื้น จึงดูผู้หญิงในแผ่นหินเอนตัวยกขาชี้ขึ้น
รูปสลักนี้มีความศักดิ์สิทธิมากมีคนมาบนบานสักการะ และบริเวณนี้
มีกรุพระที่คนนำไปติดตัวและเกิดประสบการณ์มากในยุคสงครามอินโดจีน พระอยูในกรุกดทับกันนานจนรูปบิดเบี้ยวเหมือนเขียด
จึงทำให้อาการบิด และเอียง เป็นภาพลักษณ์ของพระสะแร่งแง่ง
ที่เรียกว่าพระสะแร่งแง่ง ก็เพราะ สะแร่ง เป็นชื่อของดอกไม้ที่ทัดบนหูของนางอัปสร นั้นเอง!!
ผมไม่ขอสรุปอะไรแต่จะขอทิ้งคำถามต่างๆไว้แทน
พระศรีสะแร่งแงง กับพระสะแร่งแงง จะเป็นอันเดียวกันหรือไม่?
เป็นไปได้หรือไม่ว่ายันต์พระศรีฯจะคลี่คลายมาจาก อาทันฮี และพระสะแร่งแง่งจากจำปาสัก?
ที่ว่าหลวงปู่เต๋ เ เคยเรียนวิชาจากครูเขมร อดีตแม่ทัพนั้น ท่านได้วิชาอะไรมา?
ทำไมทั้งสามวิชาจึงต้องใช้เหล้ามาเป็นกระสาย?
หวังว่าคำถามทั้งหลายคงทำให้เราคิดถึงกัน!!