เว้นไปหนึ่งอาทิตย์ไม่ได้มาเล่าตามสัญญาว่าจะมาเล่าอาทิตย์ละครั้ง เที่ยวที่แล้วมาถึงใกล้ร้านเน็ต ฝนตกยังกะฟ้ารั่วเลยกลับดีกว่า ขืนออกมาจากรถเปียกปอนแน่ ๆ วันนี้ขอเล่าเรื่องของน้องของผม เค้าเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งกำลังเดินอยู่ก็เลยเข้าไปสอบถาม ด้วยคำถามง่าย ๆ เช่น ท่านธุดงค์ข้อใดบ้าง เช่นจะเดินตลอดไม่นั่งรถใช่ไม๊ ไม่เข้าพักในที่มุงบังมีหลังคาใช่ไม๊ รับปัจจัย (เงิน) ไม๊ อีกหลาย ๆ ข้อ จนกระทั่งผ่านการตรวจสอบ ว่าท่านเป็นพระธุดงค์แน่ ๆ เลยถามว่าท่านไปปักกลดที่ไหน ทราบว่าท่านไปปักกลดที่วัดซอย 10 ตกเย็นน้องก็ชวนผมไปสนทนาธรรมด้วย ทราบว่าท่านปฎิบัติจนกระทั่งสามารถสื่อกับพวกวิญญาณได้ ก็พูดคุยกันหลาย ๆ เรื่อง ก็ถามถึงพ่อของผมซึ่งเสียไปหลายปีแล้ว ณ.พ.ศ.นั้นยังไม่กี่ปีเอง ท่านก็กล่าวว่าวิญญาณพ่อมาอยู่บริเวณที่เรานั่งคุยกันนี่ล่ะ พวกเราลูก ๆ ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อผม ต่อมาพอคุยกันถึงเรื่องวิญญาณ ทราบว่าท่านมีความสนใจอยากจะทราบเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ซึ่งเป็นพี่ของพระนเรศวร ผมมีหนังสือเกี่ยวกับพระสุพรรณกัลยาอยู่แล้ว ซึ่งเรียบเรียงโดยหลวงปู่โง่น โสรโย ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว ท่านนี่ล่ะที่นำเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยามาเปิดเผยให้พวกเราคนไทยได้รู้จักกัน ทั้งที่ในประวัติศาสตร์กล่าวถึงพระสุพรรณกัลยาน้อยมาก จนเกือบจะไม่มีรายละเอียด แต่รายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งเขาไปถ่ายเสาที่เป็นพระราชวังของพระสุพรรณกัลยา ในพม่า ปัจจุบันก็ยังมีซากเหลืออยู่ หนังสือเล่มนี้ดีมากเพราะพระสุพรรณกัลยา มาติดต่อกับหลวงปู่โง่น ให้ช่วยเหลือพระองค์ ผมก็เลยอาสาถ่ายเอกสารให้ท่าน อ้อลืมไปเรียกท่านว่า \"ท่านปุญ\" ก็แล้วกัน หนังสือดังกล่าวมีสำนักพิมพ์นำมาพิมพ์ใหม่ ผมเห็นสักสี่ห้าเดือนเห็นจะได้ หลังจากนั้นไม่นานท่านปุญก็ย้ายไปอยู่ที่วัดอะไรผมจำชื่อไม่ได้แล้ว วัดนี้จะมีถนนตัดผ่านหน้าวัด หน้าวัดจะมีภูเขาเตี้ย ๆ อยู่ พวกเราก็ยังไปสนทนากับท่านปุญอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านปุญมาบอกว่าขณะที่ท่านไปนั่งสมาธิบนภูเขาหน้าวัดนั้น จิตของท่านได้สัมผัสกับวิญญาณของเจ้าแม่ไทรงาม ซึ่งท่านบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีวิญญาณผู้หญิงอยู่ถึง 3 ตน หากจำไม่ผิดมีเจ้าแม่ไทรทองอยู่ อีกตนผมจำไม่ได้ และเจ้าแม่ไทรงามเมื่อติดต่อกับท่านปุญได้ ก็บอกว่าเจ้าแม่ไทรงามต้องการศาลที่จะอาศัย ท่านปุญมาบอกพวกเรา ซึ่งน้องผมก็อาสาจะสร้างศาลให้ โดยให้น้องอีกคนหนึ่งเค้ามีฝีมือทางช่าง ก็ไปซือไม้มาประกอบเป็นศาล ถึงเวลาพวกเราก็เดินทางเอาศาลไปติดตั้งบนภูเขานี้ ในวันนั้นพวกเราก็ช่วยกันติดตั้งศาล พร้อมกับผูกผ้าสามสีพันรอบต้นไม้ใหญ่ ซึ่งตั้งศาลใต้ต้นไม้ใหญ่นี้ และมีเหตุประหลาดในวันติดตั้งศาล เจ้าแม่ไทรงามไปเข้าฝันชาวบ้านแถวนั้น บอกว่าให้นำขวดนมพร้อมนมไปถวายที่วัดดังกล่าวด้วย ชาวบ้านก็นำมาให้ลูกของเจ้าแม่ไทรงามจริง ๆ เรื่องบังเอิญที่มันเกิดตรงกัน แสดงว่าวิญญาณเจ้าแม่ไทรงามไปติดต่อชาวบ้านได้จริง ๆ เป็นเรื่องเป็นราว เหตุการณ์นี้ก็เกิดมาหลายปีแล้ว ท่านปุญก็ย้ายไปอยู่ที่วัดอื่นไม่ได้ติดต่อกันอีกแล้ว ความจริงยังมีอีกหลายเรื่อง แต่น่าเสียดายผมไม่ได้บันทึกเอาไว้ อาศัยความจำที่มีนเลือนลางเต็มทน ไม่งั้นคงมีเรื่องรายละเอียดมากกว่านี้ .....
เมื่อวานผมไปร้านขายข้าวร้านหนี่ง เห็นมีรูปกุมารทอง ซึ่งเป็นภาพถ่ายไม่ใช่รูปปั้นอย่างที่เราเห็น ๆ กัน ก็พูดคุยกับเจ้าของร้าน ทราบว่าเขาเรียกว่า \"ทวดยิ้ม\" ผมก็สงสัยว่าทำไมเรียกทวดยิ้มล่ะ ยังเป็นเด็กอยู่เลย เค้าก็ไม่ทราบรายละเอียด เพียงแต่บอกว่าเดิม ที่สวรรคโลก มีศพเด็กตายลอยน้ำมา ติดที่หน้าวัด ทางวัดก็เก็บเอาไว้ แต่ทำไมถึงทางวัดสร้างรูปปั้นให้ก็ไม่ทราบได้ แสดงว่าศพเด็กคนนี้คงแสดงอะไรบางอย่างแน่ ๆ ภาพปั้นก็เป้นเด็กผู้ชายยืนเปลือยกาย ทางสีทอง ตรงหน้าภาพถ่ายทวดยิ้มนี้ มีแก้วน้ำเปล่า 1 แก้ว อาหารไม่ตั้งเซ่นต่างหากเรียกกินพร้อมคนเลี้ยง ปาฎิหารย์ไม่ได้เกิดกับคนเลี้ยง แต่เกิดกับน้องชายของคนเลี้ยง คือทวดยิ้มมานอนเบียดเค้าในตอนกลางคืน เวลาปลอดคนก็วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าว สำหรับน้องสาวของคนนี้เค้าก็นำภาพถ่ายทวดยิ้มมาเลี้ยงสักพัก แล้วก็ให้คนอื่นไป ตกกลางคืนทวดยิ้มมาต่อว่า ทีเชิญมาจากวัด แล้วเชิญมาอยู่ด้วย แล้วทำไมถึงนำไปมอบให้คนอื่น แน๊ะดูซิมีการต่อว่าต่อขานกันด้วย ผมเห็นมันแปลกดีไม่เคยเห็นกุมารทองที่เป็นภาพถ่ายแล้วมีวิญญาณอยู่ข้างใน ส่วนใหญ่เห็นแต่เป็นรูปหล่อ หรือรูปปั้น เอาล่ะวันนี้ขอพอเท่านี้ก่อน ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านเทอญ........