เรื่องที่น้องเอื้อยเล่าให้ผมฟังขาดไปอีกเรื่องหนึ่งจากที่ผมเล่าไว้ในตอน 23 เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 52 ขอต่อเลยนะครับ สามีของน้องเอื้อยอยู่ ๆ เป็นโรคอะไรก็ไม่ทราบนอนไม่รู้สึกตัวเหมือนคนจะตายแล้ว น้องเอื้อยตกใจรีบนำส่งโรงพยาบาล รถยนต์ก็จอดอยู่ในบ้าน แต่ไม่มีปัญญาขับพาสามีไปโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้น้องเอื้อยอยากจะหัดขับรถยนต์ แต่สามีเค้าบอกว่าน้องเอื้อยเป็นคนใจร้อนเลยไม่หัดขัดให้ พอมีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น เลยต้องไหว้วานเพื่อนบ้านช่วยขับรถพาสามีน้องเอื้อยไปส่งโรงพยาบาล ขณะที่สามีน้องเอื้อยนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลคืนหนึ่ง ช่วงที่สามีน้องเอื้อยอยู่คนเดียวในห้อง ก็มีคนสองคนมีเขาบนหัวแต่งกายเหมือนหนังพิภพมัจจุราชที่ออกอากาศทางโทรทัศน์เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เอากันง่าย ๆ ยมทูตก็แล้วกัน ยมทูตสองคนมายืนปรึกษากันในห้องทำนองว่าใช่หรือไม่ใช่คนนี้นะ คือยมทูตจะมาเอาวิญญาณสามีของน้องเอื้อยไปยมโลก แต่ไม่แน่ใจว่าใช่คนนี้หรือเปล่า ปรึกษากันสักพักก็ตกลงว่าไม่ใช่ ก็หายไป หลังจากสามีน้องเอื้อยหายป่วยแล้ว ทุกครั้งที่สามีน้องเอื้อยเห็นหนังแนวนี้แต่งกายเหมือนยมทูตมีเขาบนหัว สามีน้องเอื้อยจะให้รีบเปลี่ยนช่องทันที เพราะทำให้เค้านึกถึงคืนระทึกในวันนั้นขึ้นมาทันที ผมยังมีโอกาสพบกับสามีน้องเอื้อยแต่ไม่อาจจะถามได้ เพราะน้องเอื้อยสั่งนักสั่งหนาว่าห้ามพูดให้สามีเค้ารู้ ผมเลยได้ขัดข้องหมองใจอยากจะถามปัญหาที่ค้างคาในใจหลาย ๆเรื่อง แต่ถามไม่ได้ หากถามไปน้องเอื้อยก็เสียหายอีกฐานนำความลับมาเปิดเผย......
น้องสาวผมได้นิมนต์หลวงตาน้อยและท่านประเสริฐมาสวดมนต์โลกุตตระธรรมที่บ้าน เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่บ้าน เพราะคำสวดมนต์นี้ได้มาจากวัดถ้ำกระบอก ขณะที่แม่ชีรูปหนึ่งนั่งสมาธิ อยู่ ๆ ท่านก็สวดมนต์ที่พระทุกรูปไม่รู้ เลยใช้เทปอัดเอาไว้ แล้วถอดเทปนำมาเขียนเป็นตัวอักษร ใช้สวดกันที่วัด เบื้องบนเขาส่งบทสวดดังกล่าวมาให้ พร้อมกับมาอธิบายธรรมผ่านแม่ชีรูปนี้โดยมีระยะกำหนด 7 ปี หลังจากเวลาดังกล่าวแม่ชีรูปนี้ก็ไม่มีความสามารถที่จะแสดงธรรมได้อีก ในประเทศไทยก็มีอยู่สองสายที่สวดมนต์โลกุตตระธรรมคือวัดถ้ำกระบอกและวัดสายเจ้าอาวาสที่ผมไปปฎิบัติธรรมอยู่ หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วหลวงตาน้อยและท่านประเสริฐก็เล่าประสบการณ์ธุดงค์ให้ฟัง เรื่องดังกล่าวหลวงตาน้อยและท่านประเสริฐเดินธุดงค์ด้วยกัน ดังนั้นเวลารูปใดรูปหนึ่งรูปใดเล่าแล้วขาดตกบกพร่อง อีกรูปก็จะเสริมเพื่อให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
วันนี้ขอเล่าเรื่องเดียวก่อนนะครับตายแล้วฟื้น ชายคนหนึ่งชื่อโยมเที่ยง กินแต่เหล้าเมาแต่ยาไม่รู้จักบุญรู้จักบาป ไหว้พระไม่เคยสนใจ อยู่แต่วงเหล้า เขย่าไฮโล ตีไก่ วงอบายมุขไม่เคยพลาด ต่อมาเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำเสียชีวิต โชคดีที่ลูกหลานไม่ให้ฉีดยากันเน่า ใส่โลงไว้เฉย ๆ และแล้ววิญญาณโยมเที่ยงก็เดินทางไปยมโลก ยมบาลถามว่าจำได้ไม๊สมัยอยู่ในเมืองมนุษย์ทำความดีอะไรบ้าง โยมเที่ยงตอบไม่ถูกเพราะในชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยทำความดีอะไรเลย ในเมื่อจำไม่ได้ยมบาลก็แสดงภาพให้เห็นตั้งแต่เด็ก ๆว่าโยมเที่ยงทำอะไรไว้บ้าง ธาตุทั้งสี่ของมนุษย์มันจำบันทึกไว้หมด ไม่ขาดตกบกพร่อง เราอาจจะลืม แต่ธาตุทั้งสี่ กฎของกรรมมันไม่ลืมบันทึกไว้ทุกอย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของโยมเที่ยงมีแต่สิ่งเลวร้าย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมีแต่สิ่งเลวร้ายทั้งนั้น และโยมเที่ยงก็เห็นสถานที่แกจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ทั้งหลายที่แกฆ่าไว้ ทั้งหมู ไก่ เป็ด ชีวิตต้องทดแทนด้วยชีวิต สถานที่อยู่ก็คับแคบสกปรก ก็เป็นคอกสัตว์นี่ครับ และทันใดก็มีปล่องสีดำยื่นมารับวิญญาณโยมเที่ยงเพื่อไปเกืดเป็นวัว เพราะสมัยมีชีวิตโยมเที่ยงเคยฆ่าวัวตัวหนึ่งด้วยความคึกคะนอง เดชะบุญมีบุญมาช่วยตัดรอนการไปเกิดเป็นวัว เพราะก่อนตายเมียโยมเที่ยงชวนไปทำบุญที่วัด โยมเที่ยงก็ไปอย่างเสียไม่ได้ ไปด้วยความไม่ศรัทธา ตัดความรำคาญเมียชวนไปหลายครั้งแล้วไม่เคยไปวัดเลย ครั้งนี้ไปเสียทีไปด้วยความรำคาญ ในพรรษานั้นโยมเที่ยงก็ได้ไปปฎิบัติธรรม เมื่อไปถงวัดพระก็บอกว่าโยมเที่ยงไม่ต้องทำอะไร จะนั่งสมาธิจะเดินจงกลมภาวนาพุทโธอย่างเดียว ทั้งที่บ้านและที่วัด โยมเที่ยงก็ปฎิบัติอย่างนั้นตลอดหนงพรรษา หลวงตาน้อยยังกล่าวอีกว่าเราไปวัดไม่ใช่ได้บุญเสมอไปนะ บางทีเอาบาปกลับมาด้วยก็พอพระให้ศีล มือเราไหว้พระรับศีล แต่โน่นหันหน้ามาคุยกัน มือก็พนมแต้ยังงั้นแหละ ด้วยอานิสงค์ที่โยมเที่ยงปฎิบัติธรรมตลอดหน่งพรรษา ทำให้บุญมาช่วยไว้ไม่ทันได้ไปเกิดเป็นวัว ถงเวลาวิญญาณโยมเที่ยงกลับเข้าร่าง พระกำลังสวดอยู่ ก็ได้ยินเสี่ยงเคาะในโลง ฉับพลันทันใดทั้งพระและชาวบ้านต่างเผ่นกระเจิงกันทั้งศาลา ยกเว้นเมียและลูกโยมเที่ยง และเรื่องราวต่าง ๆ ที่โยมเที่ยงไปยมโลกก็ได้รับการเปิดเผย เรื่องนี้เกิดที่พิษณุโลกหรือพิจิตรครับ โยมนอเล่าให้หลวงตาน้อยและท่านประเสริฐฟังอีกที ต่อไปจะทราบว่าโยมนอคือใคร
ว่าจะเล่าเรื่องเดียวขอต่อเรื่องที่สองเลยครับ ขณะหลวงตาน้อยเดินธุดงค์แถวเพชรบูรณ์หรือเปล่าผมฟังไม่ถนัด เพราะบางช่วงบางตอนมันมีดอยเต่าด้วยไม่กล้าถามขัดคอ เดี๋ยวเสียอรรถรสในการฟังเสียหมด โค้งนั้นมาทราบภายหลังว่าเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งคนตายไม้เว้นแต่ละวัน ขณะที่หลวงตาน้อยเดินธุดงค์ก็มีคณะโยมเดินติดตาม ที่ผมเคยเล่ามาในตอนก่อนหน้านี้ว่าตามพระนั่นล่ะครับ หลวงตาน้อยเดินนำหน้า พวกโยมเดินตามหลัง ขณะเดินหางตาของโยมเห็นคนมากหน้าหลายตานั่งพนมมือไหว้ทั้งสองข้างทาง (เห็นทางหางตา) ตลอดโค้งผีสิงนั้น พอหลวงตาน้อยนั่งพักผ่อนโยมก็เล่าให้ฟัง หลวงตาน้อยก็กล่าวว่าพวกวิญญาณมีแต่จิตและกายละเอียดไม่มีกายหยาบเหมือนพวกเรา เค้าหมดโอกาสที่จะทำบุญแล้ว เลยได้แต่นั่งพนมมืออนุโมทนาบุญกับคณะธุดงค์ทั้งพระและโยม.......
ตกลงกุมารทองที่ท่านดำปลุกเสกให้ผม ว่ากันว่าให้ผมวิ่งกระเจิง ก็ไม่มีอะไร มีเพียงแต่น้ำแดงที่ผมให้กุมารทองกิน มันมีหยดน้ำแดงหล่นจากหลอด ผมก็เคยเห็นบ่อย ๆ ตามหิ้งที่เขาบูชานางกวัก เดี๋ยวค่อยดูรูปท้ายเรื่องก็แล้วกัน.......
เดือนก่อนท่านเจ้าอาวาสเรียกผมไปใช้งานให้ขับรถไปซื้อของมาสร้างวัด ท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีโยมคนหนึ่งอยู่แถวคลองมันนำเรื่องมาปรึกษาท่าน เค้าไม่สบายใจเพราะบ้านเค้าอยู่แถวคลองมันและไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นคืออะไร เรื่องมีว่าคืนวันหนึ่งประมาณตีสาม แม่ค้าผู้หญิงเขาขับรถมอเตอร์ไซค์มาตลาดเพื่อมาจัดข้าวของเตรียมขายในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เมื่อมาถึงสะพานคลองมัน ก็มีดวงไฟประหลาดลอยขึ้นมาจากสะพาน แม่ค้าก็ตกใจ ไม่เท่านั้น ดวงไฟประหลาดไล่ตามแม่ค้าคนนี้ แม่ค้าบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์สุดชีวิต เค้ากล่าวว่ามีเท่าไรเค้าบิดหมด หากวันนั้นรถเกิดล้มเค้าตายแน่ เพราะบิดหนีดวงไฟประหลาดสุดชีวิต ดวงไฟนั้นตามมาตลอดเป็นระยะทาง 1ก.ม. เมือมาถงสะพานที่สองซ่งเป็นเขตชุมชนใกล้ตลาดแล้ว ดวงไฟนั้นก็หยุดลอยอยู่อย่างนั้น แม่ค้าก็ไปบอกชาวบ้านแถวให้มาดู เค้าก็เห็นกันถ้วนหน้า สักครู่ดวงไฟดังกล่าวก็หายไป ท่านเจ้าอาวาสให้ความเห็นว่า คงเป็นดวงวิญญาณ่ของคนเรียนวิชาในสมัยที่เค้ายังมีชีวิตอยู่ เมื่อเสียชีวิตจึงมีอำนาจในระดับหนึ่งเพราะดวงไฟเห็นชัดไม่มัวหมอง เดี๋ยวดูรูปท้ายเรื่องกันนะครับ พูดถงดวงไฟท่านเจ้าอาวาสเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยท่านเดินธุดงค์ ผ่านบ้านงานศพ ตกมืดพอดี ท่านก็ปักกลดไม่ห่างจากบ้านงานศพมากนัก ขณะที่ท่านเจ้าอาวาสนั่งทำสมาธิภายในกลด ท่านก็เห็นในนิมิต มีดวงไฟดวงหนึ่งสีมัวซัวไม่สดใส ท่านรู้ทันทีว่าเป็นดวงวิญญาณ ท่านก็กำหนดจิตถามว่า มาทำไม ดวงไฟนั้นก็ตอบว่าเค้ามาจากบ้านงานศพที่ท่านเดินผ่านเมื่อตอนเย็นนั่นล่ะ มาขอส่วนบุญ ท่านเจ้าอาวาสก็ถามว่าแล้วที่พระมาสวดศพทุกคืน โยมไม่ได้รับส่วนบุญอันนั้นหรือ ดวงไฟตอบว่าไม่ได้เลย ท่านเจ้าอาวาสก็ทำการแผ่ส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณนั้นไป เหตุที่ดวงวิญญาณนี้ไม่ได้บุญเพราะ พระที่มาสวดเค้าไม่ได้ปฎิบัติธรรม อานิสงค์ก็ไม่เกิด เหมือนไปรษณีย์เอาจดหมายเราไปเก็บเอาไว้ ไม่ส่งปลายทาง ผู้รับก็ไม่ไดรับจตหมาย ......
วันนี้ขอพอเท่านี้ก่อนสัปดาห์หน้าค่อยมาฟังเรื่องราวของหลวงตาน้อยและท่านประเสริฐต่อไป และมาฟังปริศนาที่ผมเคยเล่าว่าโยมเหลืองพอถูกตะขาบกัด รุ่งเช้าตะขาบมาเต็มบ้าน พอมาพบท่านประเสริฐตะขาบมาอีก มันหมายถึงอะไร ปัญหานี้ค้างคาใจผมมาก พอผมพบท่านประเสริฐเที่ยวนี้ผมถามเสียให้หายสงสัย โยมเหลืองนี่มากับช่างแอร์ อยู่ตอนไหน ตอนนี้จำไม่ได้ครับ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านครับ