หัวข้อ :ประวัติศาสตร์
25/07/2009
, 21:36
Quote
เปิดลึกเบื้องหลัง "หลวงพ่อคูณ" ไม่กลับวัดบ้านไร่
กิ่งศักดิ์ พูลทวี ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ
สิ้นเสียงปืนที่ดังสนั่นทุ่ง ร่างของ "ผู้ใหญ่แดง" หรือ *นายบุญเรียบ จันทร์เพ็ง* หลานชายของหลวง *พ่อคูณ ปริสุทฺโธ* เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ล้มลงเสียชีวิตกลางไร่มันสำปะหลัง ที่กิ่ง อ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เหนือความคาดหมายของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผู้เป็นลุง ที่เคยเตือนผู้ใหญ่แดงมาแล้ว และเคยบอกให้ผู้ใหญ่แดงยุติพฤติกรรมสร้างความขัดแย้ง และนิสัยทำตัวเป็นนักเลงใหญ่โต แต่หลานชายไม่เชื่อ จนในที่สุดก็พบจุดจบดังกล่าว
จากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ พุ่งเป้าไปที่ประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ภายในวัดบ้านไร่ ทั้งผลประโยชน์การจัดสร้างวัตถุมงคล การจัดคิวรับนิมนต์ของหลวงพ่อคูณ และการรับเหมาก่อสร้างงานสาธารณกุศลต่างๆ ที่หลวงพ่อบริจาคให้กับวัด และหน่วยงานอื่นๆ รวมทั้งความขัดแย้งส่วนตัวของผู้ใหญ่แดงและประเด็นชู้สาว
*เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดนี้สร้างความไม่สบายใจให้กับหลวงพ่อคูณเป็นอย่างมาก ทำให้หลวงพ่อคูณเกิดความเครียดและเป็นกังวลใจ*
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในวัดบ้านไร่ ไม่ได้มีเฉพาะจากก๊กผู้ใหญ่แดง หลานชายแท้ๆ ของหลวงพ่อเท่านั้น แต่ยังมีอีกสามก๊กที่ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่จบไม่สิ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้ก็เพราะผลประโยชน์มากมายมหาศาลภายในวัดบ้านไร่นั่นเอง
เนื่องเพราะพระราชวิทยาคม หรือ *หลวงพ่อคูณ* เป็นพระผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยม ชื่อเสียงดังกล่าวไม่เฉพาะในประเทศไทย แต่ยังโด่งดังและรู้จักกันไปถึงต่างประเทศด้วย ทำให้ทั้งไทยทั้งฝรั่งต่างเดินทางหลั่งไหลมาสู่วัดบ้านไร่ ให้ "ฟาเธอร์คูณ" โขกหัว และเช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ
บางคนต้องการมากราบนมัสการขอพร บางคนมาขอเครื่องรางของขลัง บางรายนำโฉนดที่ดินมาให้เหยียบเพื่อจะขายได้ราคาดี ตามความเชื่อถือของแต่ละคน วัดบ้านไร่จึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่มหาศาลของบรรดาผู้แสวงหาผลประโยชน์จากหลวงพ่อ ไม่ว่าก๊กใด
จากเป็นคนจรจัดธรรมดาสามารถก่อร่างสร้างตัวเป็น "เสี่ย" กันได้ในเวลารวดเร็วและไม่ยากนัก
การแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าในวัดบ้านไร่ ประกอบด้วยกลุ่มของ "ผู้ใหญ่ป่อง" หรือนายมานะ แสนประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านบ้านไร่, กลุ่มนายธวัช เรืองหร่าย(วัดร้าง) ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ กลุ่ม "เสี่ยนาย" หรือนายนพ ภูมิชัยศักดิ์ และกลุ่มของผู้ใหญ่แดง และนายธร จันทร์เพ็ง พี่ชายของผู้ใหญ่แดง
ทั้ง 4 กลุ่มล้วนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณ และมีปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์กันภายในวัดบ้านไร่จนเกิดความขัดแย้งกันถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด บางครั้งถึงขนาดเข่นฆ่ากันครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความวุ่นวายใจให้แก่หลวงพ่อคูณเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดเวลาที่อยู่ในวัดบ้านไร่ เมื่อเกิดเรื่องขัดแย้ง หลวงพ่อคูณจะเรียกคนเหล่านั้นมาตกลงพูดคุยแต่..แม้จะเรียกมาสักกี่ครั้ง ความวุ่นวายภายในวัดบ้านไร่ก็ดูเหมือนไม่เคยสงบลง
ความขัดแย้งภายในวัดบ้านไร่เริ่มทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หลวงพ่อคูณหายจากการอาพาธเข้ารับการผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ และเดินทางกลับมาพักยังวัดบ้านไร่
คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลมหาราช และโรงพยาบาลด่านขุนทด ได้ประชุมวางแผนเข้ามาดูแลหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด เพราะอาการยังน่าเป็นห่วง จะต้องมีแพทย์คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากกลัวติดเชื้อจากศิษยานุศิษย์ที่เดินทางมากราบนมัสการ เพราะทุกคนล้วนอยากเข้าใกล้หลวงพ่อด้วยกันทั้งนั้น
คณะแพทย์ได้กำหนดให้ทุกคนปฏิบัติตามระเบียบการเข้าเยี่ยมอย่างเคร่งครัด ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่คณะศิษย์บางกลุ่ม ถึงขนาดวางแผนจะเอาหลวงพ่อคูณไปเสียจากวัดบ้านไร่ เป้าหมายคือเพื่อธุรกิจของพวกเขาเหล่านั้น
ความขัดแย้งของลูกศิษย์ทั้ง 4 ก๊กหนักข้อมากขึ้น กระทั่งกลางเดือนมิถุนายน หลวงพ่อคูณได้เดินทางออกจากวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เพื่อหลบหนีความวุ่นวายไปยัง *บ้านสวนทศพร* อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านพักของ *พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์* ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา
ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบเงียบ เย็นสบาย และมีต้นไม้ร่มรื่น หลวงพ่อคูณตั้งใจจะพักผ่อนและจำวัดที่บ้านสวนทศพรอย่างไม่มีกำหนดกลับวัดบ้านไร่
ระหว่างที่อยู่บ้านสวนทศพรนั่นเอง หลวงพ่อคูณได้เรียกบรรดาลูกศิษย์กลุ่มต่างๆ ในวัดบ้านไร่ ทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณและมีปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์กันภายในวัดบ้านไร่ จนถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด มาพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันต่อหน้า พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ที่ "ศาลาชำระใจ" ภายในบ้านสวนทศพร
แต่การพูดจาทำความเข้าใจครั้งนี้มีมาเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น ไร้เงาของกลุ่มเสี่ยนายและกลุ่มของผู้ใหญ่แดง ที่มีนายธร จันทร์เพ็ง พี่ชายของผู้ใหญ่แดงเป็นหัวโจก การพูดคุยใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง แต่ไม่มีใครเปิดปากว่าเรื่องที่พูดคุยกันนั้นเป็นอย่างไร
*อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ถูกจับตามองมากที่สุด เป็นสาเหตุที่ทำให้หลวงพ่อคูณต้องออกจากวัดบ้านไร่ในครั้งนี้ เป็นเรื่องความขัดแย้งผลประโยชน์ของกลุ่มคน 4 กลุ่มในวัดบ้านไร่นั่นเอง*
ขณะเดียวกันก็มีข่าวจากกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางวัดบ้านไร่ ว่า การไปจำวัดของหลวงพ่อคูณที่วัดหนองบัวรองนั้น เป็นเพราะขณะนี้ทางวัดหนองบัวรองกำลังหาปัจจัยเพื่อสร้างศาลาการเปรียญ
จะอย่างไรก็ตาม ภายหลังการประกาศว่ายังไม่มีกำหนดกลับวัดบ้านไร่ของหลวงพ่อคูณ ทำให้บรรยากาศที่วัดบ้านไร่เงียบเหงาลงไปถนัดตา ไม่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณเหมือนแต่ก่อน ส่งผลให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายลอตเตอรี่ ของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม ทั้งในวัดและหน้าวัด ต่างประสบปัญหาขายสินค้าไม่ได้ ต้องปิดร้านใช้ผ้ายางคลุมไว้ หลายคนกำลังตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพใหม่
ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ส่งให้บรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อคูณภายในวัดบ้านไร่รู้ว่า หากไร้เงาของหลวงพ่อคูณแล้วที่วัดบ้านไร่ก็หมดความสำคัญ
สำหรับความขัดแย้งของกลุ่มลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณภายในวัดบ้านไร่ แม้ว่าบรรดาเหล่าลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดออกมายืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกัน รวมทั้ง พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ มือปราบตัวยงก็ออกมาการันตีกับสื่อมวลชนว่า จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอีกแล้วก็ตาม
แต่หลายคนเชื่อกันว่า ความสงบจะเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะลึกๆ แล้วแต่ละฝ่ายยังมองหน้ากันไม่ติด และรอวันที่จะปะทุขึ้นมาอีก รวมถึงอาจจะนำไปสู่การล้างแค้นกันตามมาก็เป็นได้
การนิมนต์หลวงพ่อคูณไปอยู่ที่อื่นเป็นการชั่วคราวนั้น เบื้องลึกก็คือ เพื่อจัดระเบียบภายในวัดบ้านไร่ใหม่นั่นเอง
ที่มา นสพ.มติชน 11 ก.ค.48
เปิดลึกเบื้องหลัง "หลวงพ่อคูณ" ไม่กลับวัดบ้านไร่
กิ่งศักดิ์ พูลทวี ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ
สิ้นเสียงปืนที่ดังสนั่นทุ่ง ร่างของ "ผู้ใหญ่แดง" หรือ *นายบุญเรียบ จันทร์เพ็ง* หลานชายของหลวง *พ่อคูณ ปริสุทฺโธ* เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ล้มลงเสียชีวิตกลางไร่มันสำปะหลัง ที่กิ่ง อ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เหนือความคาดหมายของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผู้เป็นลุง ที่เคยเตือนผู้ใหญ่แดงมาแล้ว และเคยบอกให้ผู้ใหญ่แดงยุติพฤติกรรมสร้างความขัดแย้ง และนิสัยทำตัวเป็นนักเลงใหญ่โต แต่หลานชายไม่เชื่อ จนในที่สุดก็พบจุดจบดังกล่าว
จากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ พุ่งเป้าไปที่ประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ภายในวัดบ้านไร่ ทั้งผลประโยชน์การจัดสร้างวัตถุมงคล การจัดคิวรับนิมนต์ของหลวงพ่อคูณ และการรับเหมาก่อสร้างงานสาธารณกุศลต่างๆ ที่หลวงพ่อบริจาคให้กับวัด และหน่วยงานอื่นๆ รวมทั้งความขัดแย้งส่วนตัวของผู้ใหญ่แดงและประเด็นชู้สาว
*เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดนี้สร้างความไม่สบายใจให้กับหลวงพ่อคูณเป็นอย่างมาก ทำให้หลวงพ่อคูณเกิดความเครียดและเป็นกังวลใจ*
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในวัดบ้านไร่ ไม่ได้มีเฉพาะจากก๊กผู้ใหญ่แดง หลานชายแท้ๆ ของหลวงพ่อเท่านั้น แต่ยังมีอีกสามก๊กที่ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่จบไม่สิ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้ก็เพราะผลประโยชน์มากมายมหาศาลภายในวัดบ้านไร่นั่นเอง
เนื่องเพราะพระราชวิทยาคม หรือ *หลวงพ่อคูณ* เป็นพระผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยม ชื่อเสียงดังกล่าวไม่เฉพาะในประเทศไทย แต่ยังโด่งดังและรู้จักกันไปถึงต่างประเทศด้วย ทำให้ทั้งไทยทั้งฝรั่งต่างเดินทางหลั่งไหลมาสู่วัดบ้านไร่ ให้ "ฟาเธอร์คูณ" โขกหัว และเช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ
บางคนต้องการมากราบนมัสการขอพร บางคนมาขอเครื่องรางของขลัง บางรายนำโฉนดที่ดินมาให้เหยียบเพื่อจะขายได้ราคาดี ตามความเชื่อถือของแต่ละคน วัดบ้านไร่จึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่มหาศาลของบรรดาผู้แสวงหาผลประโยชน์จากหลวงพ่อ ไม่ว่าก๊กใด
จากเป็นคนจรจัดธรรมดาสามารถก่อร่างสร้างตัวเป็น "เสี่ย" กันได้ในเวลารวดเร็วและไม่ยากนัก
การแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าในวัดบ้านไร่ ประกอบด้วยกลุ่มของ "ผู้ใหญ่ป่อง" หรือนายมานะ แสนประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านบ้านไร่, กลุ่มนายธวัช เรืองหร่าย(วัดร้าง) ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ กลุ่ม "เสี่ยนาย" หรือนายนพ ภูมิชัยศักดิ์ และกลุ่มของผู้ใหญ่แดง และนายธร จันทร์เพ็ง พี่ชายของผู้ใหญ่แดง
ทั้ง 4 กลุ่มล้วนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณ และมีปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์กันภายในวัดบ้านไร่จนเกิดความขัดแย้งกันถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด บางครั้งถึงขนาดเข่นฆ่ากันครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความวุ่นวายใจให้แก่หลวงพ่อคูณเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดเวลาที่อยู่ในวัดบ้านไร่ เมื่อเกิดเรื่องขัดแย้ง หลวงพ่อคูณจะเรียกคนเหล่านั้นมาตกลงพูดคุยแต่..แม้จะเรียกมาสักกี่ครั้ง ความวุ่นวายภายในวัดบ้านไร่ก็ดูเหมือนไม่เคยสงบลง
ความขัดแย้งภายในวัดบ้านไร่เริ่มทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หลวงพ่อคูณหายจากการอาพาธเข้ารับการผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ และเดินทางกลับมาพักยังวัดบ้านไร่
คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลมหาราช และโรงพยาบาลด่านขุนทด ได้ประชุมวางแผนเข้ามาดูแลหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด เพราะอาการยังน่าเป็นห่วง จะต้องมีแพทย์คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากกลัวติดเชื้อจากศิษยานุศิษย์ที่เดินทางมากราบนมัสการ เพราะทุกคนล้วนอยากเข้าใกล้หลวงพ่อด้วยกันทั้งนั้น
คณะแพทย์ได้กำหนดให้ทุกคนปฏิบัติตามระเบียบการเข้าเยี่ยมอย่างเคร่งครัด ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่คณะศิษย์บางกลุ่ม ถึงขนาดวางแผนจะเอาหลวงพ่อคูณไปเสียจากวัดบ้านไร่ เป้าหมายคือเพื่อธุรกิจของพวกเขาเหล่านั้น
ความขัดแย้งของลูกศิษย์ทั้ง 4 ก๊กหนักข้อมากขึ้น กระทั่งกลางเดือนมิถุนายน หลวงพ่อคูณได้เดินทางออกจากวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เพื่อหลบหนีความวุ่นวายไปยัง *บ้านสวนทศพร* อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านพักของ *พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์* ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา
ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบเงียบ เย็นสบาย และมีต้นไม้ร่มรื่น หลวงพ่อคูณตั้งใจจะพักผ่อนและจำวัดที่บ้านสวนทศพรอย่างไม่มีกำหนดกลับวัดบ้านไร่
ระหว่างที่อยู่บ้านสวนทศพรนั่นเอง หลวงพ่อคูณได้เรียกบรรดาลูกศิษย์กลุ่มต่างๆ ในวัดบ้านไร่ ทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณและมีปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์กันภายในวัดบ้านไร่ จนถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด มาพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันต่อหน้า พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ที่ "ศาลาชำระใจ" ภายในบ้านสวนทศพร
แต่การพูดจาทำความเข้าใจครั้งนี้มีมาเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น ไร้เงาของกลุ่มเสี่ยนายและกลุ่มของผู้ใหญ่แดง ที่มีนายธร จันทร์เพ็ง พี่ชายของผู้ใหญ่แดงเป็นหัวโจก การพูดคุยใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง แต่ไม่มีใครเปิดปากว่าเรื่องที่พูดคุยกันนั้นเป็นอย่างไร
*อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ถูกจับตามองมากที่สุด เป็นสาเหตุที่ทำให้หลวงพ่อคูณต้องออกจากวัดบ้านไร่ในครั้งนี้ เป็นเรื่องความขัดแย้งผลประโยชน์ของกลุ่มคน 4 กลุ่มในวัดบ้านไร่นั่นเอง*
ขณะเดียวกันก็มีข่าวจากกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางวัดบ้านไร่ ว่า การไปจำวัดของหลวงพ่อคูณที่วัดหนองบัวรองนั้น เป็นเพราะขณะนี้ทางวัดหนองบัวรองกำลังหาปัจจัยเพื่อสร้างศาลาการเปรียญ
จะอย่างไรก็ตาม ภายหลังการประกาศว่ายังไม่มีกำหนดกลับวัดบ้านไร่ของหลวงพ่อคูณ ทำให้บรรยากาศที่วัดบ้านไร่เงียบเหงาลงไปถนัดตา ไม่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณเหมือนแต่ก่อน ส่งผลให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายลอตเตอรี่ ของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม ทั้งในวัดและหน้าวัด ต่างประสบปัญหาขายสินค้าไม่ได้ ต้องปิดร้านใช้ผ้ายางคลุมไว้ หลายคนกำลังตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพใหม่
ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ส่งให้บรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อคูณภายในวัดบ้านไร่รู้ว่า หากไร้เงาของหลวงพ่อคูณแล้วที่วัดบ้านไร่ก็หมดความสำคัญ
สำหรับความขัดแย้งของกลุ่มลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณภายในวัดบ้านไร่ แม้ว่าบรรดาเหล่าลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดออกมายืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกัน รวมทั้ง พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ มือปราบตัวยงก็ออกมาการันตีกับสื่อมวลชนว่า จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอีกแล้วก็ตาม
แต่หลายคนเชื่อกันว่า ความสงบจะเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะลึกๆ แล้วแต่ละฝ่ายยังมองหน้ากันไม่ติด และรอวันที่จะปะทุขึ้นมาอีก รวมถึงอาจจะนำไปสู่การล้างแค้นกันตามมาก็เป็นได้
การนิมนต์หลวงพ่อคูณไปอยู่ที่อื่นเป็นการชั่วคราวนั้น เบื้องลึกก็คือ เพื่อจัดระเบียบภายในวัดบ้านไร่ใหม่นั่นเอง
ที่มา นสพ.มติชน 11 ก.ค.48
|