คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิสำหรับนักปฏิบัติใหม่
โดย พระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
จุดมุ่งหมายของการฝึกมโนมยิทธิ เพื่อให้นักปฏิบัติทุกท่าน พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า นรก สวรรค์ พรหม นั้นมีจริงหรือไม่ พระนิพพานสูญจริงหรือและเป็นการปฏิบัติทางลัดให้เข้าสู่พระนิพพานได้โดยเร็ว ขึ้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อเป็นการโอ้อวดบุคคลอื่นหรือเพื่อไปเป็น หมอดูให้ชาวบ้าน จุดประสงค์ให้ทุกท่านตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน โดยเริ่มเป็นพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ นักปฏิบัติทุกท่านควรศึกษา สังโยชน์ 10 และบารมี 10 ให้เข้าใจ และอารมณ์ของพระอริยเจ้าตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงปลาย ฉะนั้นนักปฏิบัติเมื่อได้แล้วควรฝึกฝนให้ชำนาญทุกอิริยาบถโดยกำหนดจิตของตน ไปเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เป็นประจำ
การวางอารมณ์ ขณะเวลาปลอดเสียง
1. ตัดความกังวลห่วงใยใดๆ ทั้งหลายให้หมดสิ้น และตั้งจิตแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน
2. กำหนดรู้ลมหายใจ เข้า ออก พร้อมทั้งพิจารณาว่าเราเกิดมาเพื่อตายร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้เป็นของสกปรก ไม่เที่ยง เป็นปัจจัยของความทุกข์ทั้งหลายและเสื่อมสลายไปในที่สุด ดินแดนที่มีความสุขอมตะ คือ พระนิพพาน ให้จิตจับพระนิพานเป็นอารมณ์
3. เมื่อพิจารณาจิตสบายแล้ว ก็ใช้คำภาวนาว่า “นะ มะ พะ ธะ” พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เวลาหายใจเข้าว่า “นะ มะ” เวลาหายใจออกว่า “พะ ธะ” ภาวนาแบบสบายๆ อย่าบังคับให้ช้าหรือเร็วเกินไป (เมื่อรู้สึกอึดอัดให้หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ 3-4 ครั้ง ก็จะหายเอง)
เมื่อหมดเวลาปลอดเสียงแล้ว ถ้าครูเข้าไปให้คำแนะนำขอให้นักปฏิบัติหยุดภาวนา วางอารมณ์เบาๆ แบบสบายๆ อย่าปักอารมณ์ สมาธิให้แน่นจะเสียผล ตั้งใจฟังคำแนะนำ และปฏิบัติโดยพิจารณาตามไปด้วยทันที (ตั้งใจพิจารณาให้เห็นจริงด้วยปัญญา) เมื่อจิตสามารถเคลื่อนตัวได้แล้วการตอบคำถามให้ตอบตามความรู้สึกสัมผัสทาง จิตก่อน มิใช่ เอาตาไปเห็น หรือ เอาหูไปฟังเสียง ถ้าครูถามว่ามีความรู้สึกว่าเห็นอะไร
ความรู้สึกของจิตแรกว่าอย่างไรให้ ตอบอย่างนั้นทันที อย่าไปลังเลสงสัย ถ้ามีอารมณ์ไม่แน่ใจอารมณ์ลังเลสงสัยที่มาขวางอยู่ ท่านบอกว่าเป็นอารมณ์เลวที่กั้นความดี มาขวางอยู่ นักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และตัดอารมณ์สงสัยให้หมดไป
ขณะฝึกจิตมีสมาธิอารมณ์จิตย่อมเป็นทิพย์ เป็นการสัมผัสจริงไม่ใช่เกิดจากความนึกคิดของเราที่จะสร้างขึ้น ขณะฝึกตอบผิดหรือถูกยังไม่สำคัญ ขณะฝึกขอให้มีความมั่นใจในตนเองถือแบบปฏิบัติแบบโง่ๆ ไปก่อน ถ้าครูถามว่ารู้สึกเห็นเป็นสีอะไร ความรู้สึก ของจิตแรกบอกสีขาว เราก็ตอบว่าสีขาวทันที อย่าใช้อารมณ์ที่สองหรือคิดต่อจะเกิดอุปาทาน ข้อนี้ท่านนักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และควรระวังไว้ให้มากเริ่มต้นฝึกไปแบบมืดๆ แบบตาบอดคลำช้างไปก่อนเมื่อศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ และชำนาญขึ้นก็สามารถจะสัมผัสความเป็นทิพย์ได้ชัดเจนเหมือนตาเห็น (สภาพเห็นของจิตมีวงจำกัดมาก ฉะนั้นจึงต้องขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอ)
ข้อควรปฏิบัติในเวลาปรกติ สำหรับท่านที่ปฏิบัติได้แล้วควรรักษาไว้ให้ดีขึ้นหรืออย่างน้อยก็ให้ทรงตัว โดยจำอารมณ์ตอนขณะฝึกได้ครั้งแรกๆ และท่านที่กำลังฝึกปฏิบัติอยู่ ควรสำรวจตนเองเสมอว่า เราบกพร่องในข้อไหนในด้านศีล สมาธิ ปัญญา (สำหรับท่านที่มาปฏิบัติใหม่หัวข้อธรรมะบางข้ออาจยังไม่เข้าใจให้ศึกษาราย ละเอียดได้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน) ควรระวังอารมณ์ของนิวรณ์ 5 ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสระหว่างเพศ ความโกรธความพยาบาท ความง่วง ความฟุ้งซ่าน อารมณ์สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง 5 อย่างนี้
ขณะ ปฏิบัติให้ละโดยเด็ดขาด และในเวลาปกติระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน ควรกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และใช้คำภาวนา “นะ มะ พะ ธะ” สลับกับการพิจารณาร่างกายให้จิตสะอาดแล้วไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าที่แดนพระ นิพพาน ทำเสมอๆ หัดทำให้คล่องทุกอิริยาบถได้ยิ่งดี เพราะหลวงพ่อท่านแนะนำว่า การที่เราจะเคลื่อนจิตไปได้นั้นต้องอาศัยกำลังของสมาธิ การที่เราจะเห็นภาพได้ชัดเจนต้องอาศัยวิปัสสนาญาณนักปฏิบัติทุกท่านที่ต้อง การให้ได้ผลดีต้องรักษา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวในระดับเดียวกันจึงจะได้ผลเต็มที่
พระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สรุปคำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
1. ทุกคนที่เคยฝึกครึ่งกำลังมาแล้ว ให้ภาวนาตามเดิม คือ นะ มะ พะ ธะ ควบกับลมหายใจเข้าออกก็ได้ ขณะภาวานาพนมมือที่อก
2. การฝึกแบบเต็มกำลังอาจจะมีการเต้นปึ้บปั้บ ถ้ายังเป็นฌาน 4 หยาบ ถ้าเป็นฌาน 4 ละเอียดจะไม่เต้น
3. การฝึกแบบนี้ยังไม่ทิ้งร่างกายตรง จิตใจยังมีอาการโยงกับประสาทตามเดิม ไม่ใช่หลุดไปแล้วทางร่างกายไม่รู้เลย
4. ก่อนภาวนา ให้สวมคาถาที่เขียนภาษาขอมว่า นะโมพุทธายะ ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ขอให้พระองค์ทรงช่วยให้แสงสว่างชัดเจนแจ่มใส
5. ก่อนภาวนาให้ตัดสินใจว่า การเกิดเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ การทำมาหากินเต็มไปด้วยความเหนื่อยยากไม่สบาย วันเวลาผ่านไปมันก็พบกับความแก่ เมื่อแก่ขึ้นเราก็มีแต่ความทุกข์ ขณะที่ทรงตัวอยู่ก็มีความป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ อาการป่วยไข้ไม่สบายมันก็ทุกข์
เมื่อความตายจะเข้ามาถึงมันก็ทุกข์ ร่างกายเลวๆ อย่างนี้ไม่ควรจะมีอีก ขึ้นชื่อว่าชีวิตร่างกายนี้พังเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นคนไม่มีสำหรับเรา ถ้าต้องการเป็นเทวดา หรือพรหมก็ไม่ดีสำหรับเรา เพราะเป็นเทวดาหรือพรหมมีความสุขจริงแต่สุขไม่นาน หมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องมาเกิดใหม่ จุดที่เราต้องการ คือ พระนิพพาน ทุกคนหวังนิพพานที่ไป
6. เวลา จะเคลื่อนออก คำภาวนาจะเร็วขึ้นๆ ตามลำดับ จิตจะไม่ยึดกับลมหายใจเข้าออก ต้องปล่อยไปอย่าไปดึงไว้ ถ้าคำภาวนาเร็วขึ้นอย่าไปเร่ง เดี๋ยวขาดใจตาย มันจะเร่งของมันเอง สำหรับท่านที่เคยฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังได้สัมผัสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็ ให้ยกจิตไปครึ่งกำลังแบบเดิมแล้วไปกราบแทบฝ่าพระบาทขององค์พระบรมไตรโลกนาถ ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขอได้โปรดประทานอนุญาตให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างสดใส มีจิตใจเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเต็มกำลัง 100% เพื่อจิตใจจะได้ใสสะอาดฉลาด มีสติปัญญาเต็มกำลัง สามารถตัดกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน ให้หมดสิ้นเร็วไวเป็นผู้เข้าถึงอริยมรรค อริยผล ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
7. ถ้าเวลาจะออกจริงๆ บางคนเห็นแสงสว่างพุ่งลงมาจากข้างบน บางคนจะเห็นแสงสว่างพุ่งมาจากข้างล่าง บางคนเห็นแสงสว่างจ้าเฉยๆ ในอากาศ ตอนนี้ให้ตัดสินใจพุ่งไปตามแสงสว่าง เมื่อขึ้นไปแล้วจะเกิดอาการเวิ้งว้างให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทันที หลังจากนั้นให้พระองค์พาไปจุฬามณีเจดีย์สถาน ไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระอินทร์ และแดนพระนิพพาน
8. ก่อน จะทำจงอย่าคิดว่าเราอยากได้อย่างนั้น เราอยากได้อย่างนี้ เพราะมันเป็นนิวรณ์ตัวที่ 4 ถ้าขณะปฏิบัติได้รับความรู้สึก หรือเห็นภาพอะไรอย่าสงสัย มีอะไรเกิดขึ้นให้เชื่อว่านี้เป็นความจริง เมื่อไปได้แล้วสงสัยว่าได้หรือไม่ได้ ไอ้นี่ดีเราพัง อีกประการหนึ่งอย่ากลัวตาย เพราะถ้าตายขณะปฏิบัติพระกรรมฐาน อย่างเลวเราไปสวรรค์แน่ ถ้ามีจิตมั่นคงไปพรหมแน่ ถ้าจิตเกิดเบื่อร่างกาย เบื่อโลก ถ้าตายเวลานี้ไปนิพพานแน่ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวตาย
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน สอน ลูก หลาน ณ วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)