เรื่องร่างทรง/การมรงเจ้า ต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนว่า ทรงอะไร มีทั้งทรงแบบกรรมสมยอม/ทรงแบบใคร่อยากเป็น /ทรงอุปโหลกโปโมรตัวเอง...ทรงอุปโหลกก็จะพบเห็นตามงานต่างๆเช่นพิธีสวดภาณยักษ์บ้างโดยเฉพาะพวกนี้จะสืบเสาะหางานไห้วครูทรงแล้วเข้าไปพอได้ยินเสียงกลองระนาด..ก็สั่นหยิบบุหรี่ออกมาสูบทีละมากๆมวนพร้อมกันฯลฯ
ทรงใคร่อยากเป็น...ก็ประเภทได้ยินได้รู้ที่ไหนมีการครอบทรงก็จะเสาะหาเตรียมหรือไปซื้อบูชาที่ตำหนักเลย เรียกว่าขันธ์และเมื่อรับแล้วต้องเก็บกลับมาดูแลรักษายิ่งกว่าดูแลพ่อ/แม่ของตนบ้างใช้ผ้าขาวบางห่อหุ้ม 1ปีผ่านไปจะต้องนำไปเปลี่ยน หรือบางตำหนักก็อ้างต้องต่อขันธ์(ให้บารมีสูงขึ้น) เสียเงินบูชาขันธ์ใหม่ อันนี้สิอันตรายหากไม่มีจริงก็เสียเงินรักษาขันธ์ หรือหากมีอยากได้หรือคิดเองว่าท่านนั้นท่านนี้ลงมา ดีไม่ดีเจอผีกะเลกะลาดแอบแฝงสวมรอย พอได้หาเงิน พวกนี้เวลาใครเข้าหาจะต้องมีเงินค่าครูแพงๆต่างกันไป
ทรงแบบกรรมสมยอม...คือท่านผู่ที่ล่วงลับไปอาจยังมีกรรมใดๆที่ยังไม่หมดและอยากลงมาช่วยมนุษย์ เมื่อจะลงมาก็จะต้องเลือกมนุษย์ที่มีกรรมผัวพันในชาติภพใดภพหนึ่ง มาขอใช้ร่างเป็นที่ผ่านการทรง(แบบนี้จะใช้ร่างผ่านโดยที่ร่างต้องชำระร่างกายให้สะอาดก่อน จะไม่ใช้การมาสิงในตัว การสิงนั้นคือพฤติกรรมของผี) ทรงแบบนี้แม้เราไม่อยากรับเขาก็ไม่สามารถบังคับได้แต่ก็อาจแกล้งให้เจ็บบ้าง มีเรื่องบ้างจนต้องยอมรับในที่สุด ทรงแบบนี้เมื่อประทับจะไม่มีการเรียกร้องค่าครูเด็ดขาด(แต่จะให้บ้างก็เมื่อออกแล้วแล้วแต่ไม่มีกฎใดๆ) ผู้เป็นทรงแบบนี้จะ ไม่มีจะไม่จน แต่เมื่อถึงเวลาไห้วครูจะมีมาเองแบบคนมาช่วยค่าจัดงาน จะร่วมหลับนอน บ้างก็แยกนอน จะตอกไข่ไม่ได้ ข้อบังคับจะจุกจิก และจะรู้ได้เมื่อทำแล้วไม่สบาย..สิ่งสำคัญจะไม่มีค่าครูใดๆ ทรงท่านใดก็ทรงเรียบๆใช่ใส่สะโหร่งแบบผู้ชายมีผ้าพาดบ่าบ้าง ไม่ต้องแต่งให้เหมือนจริง
เคยเห็นทรงพระเจ้าตาก ก็แต่งซะจะออกรบ / ทรงเจ้าแม่กวนอิมก็สวมซะเหมือนในรูปแสวงหายอดทับทิมมาซืออีก ลองคิดนะครับหากท่านผู้ทรงเกียรตืทั้งหลายจะมาทรงเพื่อช่วยมนุษย์ หรือจะมากอบโกยค่าครู ค่ารักษา ไม่มีเงินเข้าหาไม่ได้
ทั้งหมดพูดไดเพราะรู้ แต่อาจขัดใจ ผู้ถูกขัด