Namoza
|
หัวข้อ :ตอบคำถาม..แจกตะกรุดจ้าๆๆๆๆ
28/10/2009
, 17:01
Quote
ใครตอบถูกแจกไปเลย
ขอ ๑๐ ท่านแรกที่ตอบถูกที่สุด.....นะครับ
ใครตอบถูกแจกไปเลย
ขอ ๑๐ ท่านแรกที่ตอบถูกที่สุด.....นะครับ
|
Namoza
|
ความคิดเห็นที่ 1
28/10/2009
, 17:02
Quote
|
Namoza
|
ความคิดเห็นที่ 2
28/10/2009
, 17:03
Quote
|
บี
|
ความคิดเห็นที่ 3
28/10/2009
, 17:10
Quote
|
กวิน
|
ความคิดเห็นที่ 4
28/10/2009
, 17:12
Quote
รอคำถามครับ อิอิ
|
Namoza
|
ความคิดเห็นที่ 5
28/10/2009
, 17:18
Quote
วันนี้แวะไปวัดสะแก ในเมืองโคราชมา ไปทำบุญเช่าตะกรุดดอกนี้มาแจกเพื่อนที่ตอบถูกครับ
หลวงพ่อที่เห็นในรูป คือ หลวงพ่อเจ้าคุณสนั่น เจ้าตำหรับตะกรุดดอกนี้ ตะกรุดดอกนี้ท่านเรียกว่า ตะกรุดพุทธเมตตา เป็นตำราที่ท่านได้มาจากพระอุปัชฌาย์(เขียนถูกไหมหนอ) ของท่าน ซึ่งอุปัชฌาย์หรือหลวงพ่อพรหมนี้ ของท่านเป็นลูกสิดคนสำคัญของหลวงพ่อพรหมสรรอด วัดบ้านดอนผวา (คือท่านมรณภาพที่วัดนี้) อภินิหารมีมากมายสำหรับหลวงพ่อพรหมสรรอด ใครเป้นเซียนพระน่าจะรู้ดี เหรียญของท่านรุ่นแรกและรุ่นเดียว ในโคราชอย่างขี้เหร่ๆ ก็แสนต้นๆ ครับ (พ่อเล่าให้ฟัง อิอิ)
พูดเรื่องตะกรุดดอกนี้ลูกศิษย์ท่านบอกว่า หลวงพ่อจารมือสดๆ จารและเสกในพรรษาที่ผ่านมา ของท่านทุกอย่างท่านจะเสกในพรรษาแล้วค่อยออกบูชาครับ แล้วลงรัก ปิดทองด้วยนะครับ ยาวประมาณ สองนิ้วเศษๆ
ผมนึกในใจว่าที่วัดนี้มีกุมารไหมนะ พอหลวงพ่อเดินมาผมก็ถาม ได้คำตอบว่า " ฉันไม่มี ฉันทำไม่เป็น อยากได้ไปแถวโนนสูงโน่น เค้าทำเป็น ฉันทำเป้นแต่พระกับตะกรุดดอกเด้อ?" ผมก็เลยถึงบางอ้อ....จบข่าว
วันนี้แวะไปวัดสะแก ในเมืองโคราชมา ไปทำบุญเช่าตะกรุดดอกนี้มาแจกเพื่อนที่ตอบถูกครับ
หลวงพ่อที่เห็นในรูป คือ หลวงพ่อเจ้าคุณสนั่น เจ้าตำหรับตะกรุดดอกนี้ ตะกรุดดอกนี้ท่านเรียกว่า ตะกรุดพุทธเมตตา เป็นตำราที่ท่านได้มาจากพระอุปัชฌาย์(เขียนถูกไหมหนอ) ของท่าน ซึ่งอุปัชฌาย์หรือหลวงพ่อพรหมนี้ ของท่านเป็นลูกสิดคนสำคัญของหลวงพ่อพรหมสรรอด วัดบ้านดอนผวา (คือท่านมรณภาพที่วัดนี้) อภินิหารมีมากมายสำหรับหลวงพ่อพรหมสรรอด ใครเป้นเซียนพระน่าจะรู้ดี เหรียญของท่านรุ่นแรกและรุ่นเดียว ในโคราชอย่างขี้เหร่ๆ ก็แสนต้นๆ ครับ (พ่อเล่าให้ฟัง อิอิ)
พูดเรื่องตะกรุดดอกนี้ลูกศิษย์ท่านบอกว่า หลวงพ่อจารมือสดๆ จารและเสกในพรรษาที่ผ่านมา ของท่านทุกอย่างท่านจะเสกในพรรษาแล้วค่อยออกบูชาครับ แล้วลงรัก ปิดทองด้วยนะครับ ยาวประมาณ สองนิ้วเศษๆ
ผมนึกในใจว่าที่วัดนี้มีกุมารไหมนะ พอหลวงพ่อเดินมาผมก็ถาม ได้คำตอบว่า " ฉันไม่มี ฉันทำไม่เป็น อยากได้ไปแถวโนนสูงโน่น เค้าทำเป็น ฉันทำเป้นแต่พระกับตะกรุดดอกเด้อ?" ผมก็เลยถึงบางอ้อ....จบข่าว
|
บอล
|
ความคิดเห็นที่ 6
28/10/2009
, 17:20
Quote
ตอบ เป็นของ นะโม ที่รอแจกคับ (ถูกที่สุด)
ตอบ เป็นของ นะโม ที่รอแจกคับ (ถูกที่สุด)
|
มอม
|
ความคิดเห็นที่ 7
28/10/2009
, 17:23
Quote
ปากเอ่ย คับ
|
Namoza
|
ความคิดเห็นที่ 8
28/10/2009
, 17:26
Quote
ที่คำถามไม่มี ไม่ใช่อะไร คือว่า ผมนึกคำถามไมออก เหอๆๆ
เอ้า ถามง่ายๆ ต้อนรับวันลอยกระทงจั๊กกะน๋อย...
ถามว่า.....วันลอยกระทงมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร....
ตอบแบบพอเข้าใจนะครับ อย่ายาวไป ผมอ่านไม่ทัน อิอิ
na_mo_bud_dha_ya@hotmail.com
ที่คำถามไม่มี ไม่ใช่อะไร คือว่า ผมนึกคำถามไมออก เหอๆๆ
เอ้า ถามง่ายๆ ต้อนรับวันลอยกระทงจั๊กกะน๋อย...
ถามว่า.....วันลอยกระทงมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร....
ตอบแบบพอเข้าใจนะครับ อย่ายาวไป ผมอ่านไม่ทัน อิอิ
na_mo_bud_dha_ya@hotmail.com
|
Namoza
|
ความคิดเห็นที่ 9
28/10/2009
, 17:29
Quote
๑๐ ท่านแรกที่ถูกที่สุดนะครับ
ให้ทั้งตะกรุด กะ รูปหลวงพ่อพรหมสร (รอด) และ หลวงพ่อเจ้าคุณ ๓ อย่างไปเลย
ส่งฟรี เหมื๊อนเดิมครับท่าน....ด่วนๆๆๆ ประกาศรายชื่อตอนดึกๆ (ถ้าตื่นอะนะ)
๑๐ ท่านแรกที่ถูกที่สุดนะครับ
ให้ทั้งตะกรุด กะ รูปหลวงพ่อพรหมสร (รอด) และ หลวงพ่อเจ้าคุณ ๓ อย่างไปเลย
ส่งฟรี เหมื๊อนเดิมครับท่าน....ด่วนๆๆๆ ประกาศรายชื่อตอนดึกๆ (ถ้าตื่นอะนะ)
|
Jame
|
ความคิดเห็นที่ 10
28/10/2009
, 17:29
Quote
เป็นการอาบน้ำชำระบาป สาปส่งสิ่งที่ไม่ดี และขจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายให้หายไปจากจิตใจและร่างกาย เพื่อเป็นการสร้างเสริมบารมีและสิริมงคลแก่ชีวิต ถือเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและครอบครัว จะทำกันในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงของวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12
เกี่ยวกับศาสนาเปล่าน้อๆ {icon3}{icon3}{icon3}
ช่วงนี้สิ้นเดือนค่าใช้จ่ายหลายอย่าง รอของฟรีอย่างเดียวครับ {icon3}{icon3}{icon3}{icon1}{icon1}
|
Jame
|
ความคิดเห็นที่ 11
28/10/2009
, 17:33
Quote
เคยรู้มาว่าตำนานของการลอยกระทง นั่นก็คือการขอขมาและบูชาพระแม่คงคา ผู้ที่ปกปักษ์รักษาผืนน้ำ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ตำนานของการลอยกระทงนั้น ก็มีบางตำนานที่มีพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท” โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทร าย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
ตอบใหม่ เพื่อความชัวร์ครับ {icon3}{icon3}{icon3} สีแดง นั่นคือ พระพทธศาสนา โดยตรง ชัวร์บ๊าปปป
เคยรู้มาว่าตำนานของการลอยกระทง นั่นก็คือการขอขมาและบูชาพระแม่คงคา ผู้ที่ปกปักษ์รักษาผืนน้ำ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ตำนานของการลอยกระทงนั้น ก็มีบางตำนานที่มีพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท” โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทร าย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
ตอบใหม่ เพื่อความชัวร์ครับ สีแดง นั่นคือ พระพทธศาสนา โดยตรง ชัวร์บ๊าปปป
|
บอล
|
ความคิดเห็นที่ 12
28/10/2009
, 17:35
Quote
บาย ตัวใครตัวมันคร้าบ
|
อ้อมจัง
|
ความคิดเห็นที่ 13
28/10/2009
, 17:39
Quote
เพื่อบูชาพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคภิภพ อิ อิ ได้แน่ๆ
เพื่อบูชาพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคภิภพ อิ อิ ได้แน่ๆ
|
กวิน
|
ความคิดเห็นที่ 14
28/10/2009
, 17:40
Quote
ลอยกระทงมีหลายตำนานครับ
1.เพื่อขอขมาเเก่พระเเม่คงคา 2.บูชาพระนารายบรรทมศิลธุ์ในมหาสมุทร 3.เพื่อต้อนรับพระบรมศาสดาหลังจากพระองค์เสด็จไปโปรดมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 4.เพื่อบูชาพระพุทธบาทของพระศาสดาที่หาดทรายริมเเม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปเเสดงธรรมโปรดนาคพิภพ 5.การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุเกศาของพระพุทธเจ้า6.เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม7. เพื่อบูชาพระอุปคุตตะระเถระ
ซึ่งข้อ3 4 5เเละ7ล้วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาของเราครับ เเละตำนานอื่นๆเป็นความเชื่อที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมมาจนปัจจุบัน
ลอยกระทงมีหลายตำนานครับ
1.เพื่อขอขมาเเก่พระเเม่คงคา 2.บูชาพระนารายบรรทมศิลธุ์ในมหาสมุทร 3.เพื่อต้อนรับพระบรมศาสดาหลังจากพระองค์เสด็จไปโปรดมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 4.เพื่อบูชาพระพุทธบาทของพระศาสดาที่หาดทรายริมเเม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปเเสดงธรรมโปรดนาคพิภพ 5.การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุเกศาของพระพุทธเจ้า6.เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม7. เพื่อบูชาพระอุปคุตตะระเถระ
ซึ่งข้อ3 4 5เเละ7ล้วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาของเราครับ เเละตำนานอื่นๆเป็นความเชื่อที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมมาจนปัจจุบัน
|
เจ้าแสนไข
|
ความคิดเห็นที่ 15
28/10/2009
, 17:41
Quote
ตำนานของการลอยกระทงนั้น ก็มีบางตำนานที่มีพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท” โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทร าย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
อีกตำนานหนึ่งคือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี” เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณ ฐกะ พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี
เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอา ด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระน คร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก
พระจุฬามณีตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำแม้พระศ รีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ซึ่งในอนาคต จะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยไตรยด้วย
ตำนานต่อมาเป็นการ “ลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก” เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นส ัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา
เมื่อจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ทราบ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับ เทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ
ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพ และประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิ ภพ ทั้งนี้ก็เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับ เสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์
ส่วนเรื่องตำนานการ “ลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม” ที่มาเป็นนิทานต้นเหตุเกี่ยวกับวันลอยกระทงอีกเรื่อง หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่นํ้า วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากิน แล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงนํ้า แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง
เมื่อแม่กาย้อนกลับมาที่รังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยนํ้าไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้นถึงกำหนดฟัก กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็น ลูกกาตามชาติกำเนิดเลย
กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาส และเห็นอานิสงส์ในการบวช จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษี ต่อมาฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกัน และถามถึงนามวงศ์ และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้คนแรกชื่อ กกุสันโธ ( วงค์ไก่ )คนที่สองชื่อ โกนาคมโน ( วงค์นาค )คนที่สามชื่อ กัสสโป ( วงค์เต่า )คนที่สี่ชื่อ โคตโม ( วงค์โค ) และคนที่ห้าชื่อ เมตเตยโย ( วงค์ราชสีห์ )
กุมารทั้ง 5ต่างตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชา ลอยกระทงในแม่นํ้า ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม และเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานี ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าดังนี้ ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ ,ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์ ,ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ ,ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และ ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย
พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก ได้มาบังเกิดบนโลกแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
และอีกหนึ่งตำนานนั่นคือ การ “ลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ”( พระบัวเข็ม) ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล .......กระนั้นแล
ตำนานของการลอยกระทงนั้น ก็มีบางตำนานที่มีพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท” โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทร าย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
อีกตำนานหนึ่งคือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี” เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณ ฐกะ พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี
เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอา ด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระน คร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก
พระจุฬามณีตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำแม้พระศ รีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ซึ่งในอนาคต จะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยไตรยด้วย
ตำนานต่อมาเป็นการ “ลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก” เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นส ัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา
เมื่อจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ทราบ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับ เทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ
ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพ และประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิ ภพ ทั้งนี้ก็เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับ เสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์
ส่วนเรื่องตำนานการ “ลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม” ที่มาเป็นนิทานต้นเหตุเกี่ยวกับวันลอยกระทงอีกเรื่อง หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่นํ้า วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากิน แล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงนํ้า แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง
เมื่อแม่กาย้อนกลับมาที่รังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยนํ้าไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้นถึงกำหนดฟัก กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็น ลูกกาตามชาติกำเนิดเลย
กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาส และเห็นอานิสงส์ในการบวช จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษี ต่อมาฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกัน และถามถึงนามวงศ์ และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้คนแรกชื่อ กกุสันโธ ( วงค์ไก่ )คนที่สองชื่อ โกนาคมโน ( วงค์นาค )คนที่สามชื่อ กัสสโป ( วงค์เต่า )คนที่สี่ชื่อ โคตโม ( วงค์โค ) และคนที่ห้าชื่อ เมตเตยโย ( วงค์ราชสีห์ )
กุมารทั้ง 5ต่างตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชา ลอยกระทงในแม่นํ้า ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม และเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานี ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าดังนี้ ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ ,ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์ ,ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ ,ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และ ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย
พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก ได้มาบังเกิดบนโลกแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
และอีกหนึ่งตำนานนั่นคือ การ “ลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ”( พระบัวเข็ม) ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล .......กระนั้นแล
|
Namoza
|
ความคิดเห็นที่ 16
28/10/2009
, 17:46
Quote
กำ จะยาวไปไหน
เอาสั้นๆ แต่ได้ใจความครับท่าน
และผู้ที่เข้าไปตอบในเมล์นั้น ให้มาตอบในกระทู้นะครับ
และขอที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่นนะคร้าบบบบบ
กำ จะยาวไปไหน
เอาสั้นๆ แต่ได้ใจความครับท่าน
และผู้ที่เข้าไปตอบในเมล์นั้น ให้มาตอบในกระทู้นะครับ
และขอที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่นนะคร้าบบบบบ
|
คร
|
ความคิดเห็นที่ 17
28/10/2009
, 17:47
Quote
เป็นการขอขมากับพระแม่คงคาที่เราได้ทำในสิ่งไม่ดีอย่างเช่นการปัสสะวะในแม่น้ำหรือลำคลองการนำสิ่งสกปรกจากตัวเราไปในแม่น้ำลำคลองเพราะคนสมัยก่อนจะอาบน้ำและใช้น้ำจากแม่น้ำลำคลอง
เป็นการขอขมากับพระแม่คงคาที่เราได้ทำในสิ่งไม่ดีอย่างเช่นการปัสสะวะในแม่น้ำหรือลำคลองการนำสิ่งสกปรกจากตัวเราไปในแม่น้ำลำคลองเพราะคนสมัยก่อนจะอาบน้ำและใช้น้ำจากแม่น้ำลำคลอง
|
เอก นามยุทธ์
|
ความคิดเห็นที่ 18
28/10/2009
, 17:53
Quote
การขอขมาและบูชาพระแม่คงคา ผู้ที่ปกปักษ์รักษาผืนน้ำ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ตำนานของการลอยกระทงนั้น ก็มีบางตำนานที่มีพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท” โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทร าย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
การขอขมาและบูชาพระแม่คงคา ผู้ที่ปกปักษ์รักษาผืนน้ำ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ตำนานของการลอยกระทงนั้น ก็มีบางตำนานที่มีพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือการ “ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท” โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทร าย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
|
เอก นามยุทธ์
|
ความคิดเห็นที่ 19
28/10/2009
, 17:59
Quote
ตอบอีก ชัวร์ๆครับ
การอธิษฐานขอขมาแม่พระคงคา ที่ได้ถ่ายสิ่งสกปรก เพราะถือกันว่า การถ่ายสิ่งโสโครกรดพระแม่คงคา เป็นการกระทำที่น่าอุจาดและสกปรก เป็นบาป จึงควรขอขมา
บางพวกก็ทำเพื่อบูชาพระจุฬามณีในดาวดึงส์ ตามคติพุทธศาสนา กล่าวคือการยกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์
ตอบอีก ชัวร์ๆครับ
การอธิษฐานขอขมาแม่พระคงคา ที่ได้ถ่ายสิ่งสกปรก เพราะถือกันว่า การถ่ายสิ่งโสโครกรดพระแม่คงคา เป็นการกระทำที่น่าอุจาดและสกปรก เป็นบาป จึงควรขอขมา
บางพวกก็ทำเพื่อบูชาพระจุฬามณีในดาวดึงส์ ตามคติพุทธศาสนา กล่าวคือการยกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์
|
วิน
|
ความคิดเห็นที่ 20
28/10/2009
, 18:16
Quote
{icon3}{icon1}{icon3}{icon1}{icon3}{icon1}
ขอบคุณ
คุณNamoza มากครับที่ มีน้ำใจแบ่งปันกันครับ
|