http://www.kumanthongsiam.com
    สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 24/05/2008
ปรับปรุง 10/07/2021
สถิติผู้เข้าชม23,981,308
Page Views33,418,514
Menu
หน้าแรก
รวมรูปภาพ
เว็บบอร์ด
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 

 


เรื่องเล่าจากโกสินทร์ ตอน 48 (+++รูปประกอบภาพวัว , ควายธนู)

(อ่าน 5318/ ตอบ 14)

โกสินทร์

เรื่องเล่าจาก โกสินทร์  ตอน 48 (มีภาพวัว , ควายธนู)











     ขอขอบคุณคุณบอล ดีครับที่คุณบอลย้อนกลับไปอ่านเรื่องก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องเล่าของผม มันจะเกี่ยวเนื่องกันเป็นซีรีย์เลยล่ะ อย่างตอนนี้ก็ต้องกล่าวอ้างถึงตอนที่ผ่านมา และในตอนนี้จะมีสถานที่ คือ วัดโพธาวาสตลอดทั้งเรื่อง...วัวธนูเดี๋ยวนี้ลักษณะสวยงามดีเหมือนคุณว่า.....สำหรับวัวธนู,ควายธนู เดี๋ยวนี้ชักจะมีหลายวัด ทั้งที่วิชานี้เมื่อก่อนมีแต่หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองเท่านั้น ปัจจุบันมีมากจัง ทั้งที่เป็นวิชาเฉพาะกิจ  เหมือนรักยม, กุมารทองนั่นล่ะ เดี๋ยวนี้มีเกือบทุกวัด ทำไมมาก คิดกันเอาเองครับ....... และขอขอบคุณคุณอ้วน ผมไม่ค่อยเดินทางไปไหนหรอกครับ ชอบอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน วัวธนูที่ได้มาอาศัยดูจากสื่อต่าง ๆ อย่างในเว็บนี้ผมก็ได้มาสองสามวัด ส่วนใหญ่ใช้บริการส่งกับไปรษณีย์ บางทีเวลาเข้ามาในกรุงเทพฯก็เดินดูตามสนามพระต่าง ๆ ก็มักจะพบเป็นส่วนใหญ่ ..........


     ช่วงที่ผมเดินทางเข้าพระนครเที่ยวนี้มีเหตุการณ์น่าระทึกเล็กน้อยพอเป็นกระสาย เพราะในการเดินทางเข้าพระนครแต่ละครั้งของผมไม่เคยมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น  ทุกครั้งที่ผมจองตั๋วรถไฟผมจะจองตู้หลังเสมอ ๆ จากประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มาจะเห็นได้ว่าตู้รถไฟตู้แรกมักจะถูกหวยเสมอ เดี๋ยวชนกับมอเตอร์ไซค์บ้าง ชนกับรถยนต์บ้าง เพราะทางรถยนต์เพิ่งมาสร้างกันใหม่ก็มาตัดตรงกับทางรถไฟพอดี มีเหล็กกั้นรถไฟก็พอบรรเทาไปได้บ้าง หากไม่มีก็จะมีเหตุการณ์รถไฟจ๊ะเอ๋กับรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์เป็นประจำ ก็คนสร้างถนนตัดผ่านทางรถไฟเล่นสร้างตัดกันตรง ๆ เลย แทนที่จะสร้างถนนให้เลียบทางรถไฟสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยตัด ก็ไม่ทำ การรถไฟเสียค่าใช้จ่ายไปไม่รู้กี่ล้านแล้ว จะไปเรียกร้องกับชาวบ้านรึ ชาวบ้านก็ไม่มีเงินมากมายที่จะให้รถไฟเรียกร้องได้ ผลเสียก็ตกอยู่กับการรถไฟ เหตุการณ์วันนั้นขณะรถกำลังจะจอดที่สถานี ผู้โดยสารพากันเก็บข้าวของพากันยืนออกันที่หน้าประตูเพื่อจะลงจากขบวนรถ ทันใดรถก็เบรกกะทันหัน ผู้โดยสารก็เสียหลักกันตามระเบียบ ดีที่แล่นมาช้า ๆ หากมาเร็ว ๆ คงถึงอันตรายเลยล่ะ  ผมนึกว่าต้องมีเหตุร้ายบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว ก็จริงดังคาด มองไปทางหัวขบวนรถเห็นพนักงานรถไฟยืนมุงดูอะไรบางอย่างที่หัวขบวน รถจอดอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง พอรถเคลื่อน ด้านซ้ายมือก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์บี้แบนกลายเป็นซากเหล็กอยู่ข้างรางรถไฟ  ทราบจากพนักงานรถไฟว่าเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันนี้ยกรถข้ามรางรถไฟคาดว่ามาสองคน เพราะคนเดียวยกมอเตอร์ไซค์ข้ามรางรถไฟไม่ได้แน่  ทั้ง ๆ ที่ตรงนั้นไม่มีถนนตัดผ่านแต่อย่างใด เป็นรางรถไฟล้วน ๆ เชื่อเค้าเลยคิดได้ยังไง ผลจากความมักง่ายของมอเตอร์ไซค์คันนั้นทำให้รถปกติก็เสียเวลาอยู่แล้ว กลับเสียเวลาช้ากว่าเดิมไปอีกเป็นชั่วโมง  คนประเภทนี้ในประเทศไทยยังมีอีกมาก ทำให้คนจำนวนมากมาเสียเวลากับคน ๆ เดียว ...........


     ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นแฟนรายการนาทีฉุกเฉิน ยังโดนหลอกเล็ก ๆ จนได้ทั้งที่ระวังแล้ว ก่อนหน้าที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวจะปิดเพื่อปรับปรุง ภรรยาผมได้ไปซื้อเครื่องวิ่งออกกำลังกายซึ่งบริษัทนี้จัดรายการอยู่ชั้นล่างของห้าง เค้าติดราคาไว้ 59,900 บาท ซึ่งเมื่อได้พูดคุยพนักงานขายลดให้เหลือ 32,000 บาท โดยพนักงานขายระบุว่าฟรีค่าจัดส่งทั่วประเทศ ก็ตกลงซื้อในราคานี้ พนักงานขายก็ให้กรอกข้อความรายละเอียดการจัดส่งสินค้าทั้งนี้แถม ผ้ารองเครื่องวิ่ง, น้ำมันหยอดลู่วิ่ง,เครื่องเล่นกล้ามท้อง(ซิทอัพ) พอตอนจ่ายเงินภรรยาผมจ่ายด้วยบัตรเครดิต พนักงานบอกว่าขอรูดบัตรเพียง 30 ,000 บาท ส่วนอีก 2,000บาท ขอเป็นเงินสดโดยให้เหตุผลว่าที่จริงแล้วนั้นบริษัทไม่ได้ส่งฟรี  2,000บาทที่ขอเป็นเงินสดนั้นแท้จริงแล้วเป็นค่าขนส่งไปต่างจังหวัด  ผมมาคิดดูแล้วทำไมพนักงานขายไม่พูดให้ชัด ๆ ในตอนแรก พูดให้คลุมเครือทำไม  ผมกับลูกต่างก็ช่วยกันถ่ายรูปเครื่องวิ่งที่เราจะซื้อ กลัวว่าตกลงซื้ออย่าง เวลาได้รับเป็นอีกอย่าง  พนักงานขายบอกว่าเค้าเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดไปส่งเครื่องวิ่งให้ลูกค้า  อ้อเล่าข้ามไปของแถมมีคู่มือการใช้เครื่องวิ่งด้วย  ตกลงวันนั้นหลังจากจ่ายเงินผมได้รับน้ำมันหล่อลื่นสำหรับฉีดลู่วิ่งเป็นของแถม นอกนั้นค่อยส่งไปกับเครื่องวิ่ง พอผมได้รับเครื่องวิ่งปรากฎว่าเป็นบริษัทในตัวจังหวัดของผมมาส่งให้แทน ของแถมครบหมด แต่คู่มือการใช้เครื่องวิ่งกลับเป็นภาษาอังกฤษ  ผมก็โทรมาสอบถามพนักงานขายในกรุงเทพฯ เค้าก็บอกว่าเค้าบอกไปทางบริษัทแล้ว เพื่อจะจัดส่งให้ผม  ผมโทรมาสอบถามสองสามครั้ง จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป ผมต้องเดินทางมารับคู่มือดังกล่าวด้วยตัวเอง พนักงานขายคนนั้นอ้างว่าเค้าไปต่างจังหวัด ในวันที่เราทั้งสองนัดพบกัน คงกลัวผมด่าเค้ามั้ง ทั้งนี้ ณ.ตอนนั้นผมไม่มีอารมณ์แบบนั้นเลย พอมาถึงห้างเซ็นทรัลต้องขึ้นไปอีกชั้น เพราะที่เขาจัดรายการชั้นล่างเค้าหมดช่วงจัดรายการแล้ว  พนักงานขายอีกคนรับหน้า ต้องโทรไปบริษัทให้ส่งโทรสารมาให้ ซึ่งมีเพียงกระดาษหนึ่งแผ่น แต่ความยาวหากเอามาตัดเท่ากระดาษ เอ. 4 ประมาณ 3 แผ่น  จากคู่มือฉบับภาษาอังกฤษ 1 เล่ม เหลือ 3 แผ่น  นี่ล่ะครับเป็นอุทาหรณ์สอนใจเวลาเราซื้ออะไรก็ตาม ต้องระมัดระวังให้มาก ๆ ผมทั้งที่ระวังตัวแล้ว ยังโดนแค่ปลาย ๆ .....จนได้ซินะ......


     สมัยผมเรียนมวยจีนกับอาจารย์ของผม เราก็มีศิษย์รุ่นน้องคนหนึ่งชื่อโกมล ซึ่งเป็นคนไทยแท้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะในกลุ่มของพวกเราไทยผสมจีน หรือจีนแท้ ๆ ทั้งนั้น คบกันมาตั้งนานเพิ่งรู้ว่าภรรยาของเค้าเคยนั่งจ้องหน้าผีในระยะห่างเพียงแค่มุ้งกั้นเท่านั้นเองคิดดูเถอะครับใกล้กันขนาดไหน และที่สำคัญที่สุดภรรยาของเค้ามิได้มีญาณพิเศษหรือสัมผัสพิเศษแต่ประการใดเห็นด้วยตาเนื้อนี่ล่ะ ผมก็เลยขอสัมภาษณ์เค้าปรากฏว่าเค้ามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องผี ๆ สามเรื่องดังต่อไปนี้......


     สมัยปุ๋ย(ภรรยาของโกมล) เป็นนักเรียนอยู่ชั้นประถม 6 ได้ชักชวนเพื่อนไปเล่นน้ำคลองตามประสาเด็กไปกันสามคนคือ ปุ๋ย,สาว(น้องสาวของปุ๋ย) , อิน (คนตาย)  วันที่เกิดเหตุอินได้แต่งชุดนักเรียนเพื่อไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่แม่ของอินกินน้ำเปลี่ยนนิสัยเป็นกิจวัตรประจำวันจนเมามายไม่ให้อินไปโรงเรียนโดยขังอินไว้ในบ้าน  ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งจะมีเพื่อนบ้านมาช่วยปล่อยอินออกจากบ้านทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ในวันเกิดเหตุก็เช่นกันมีเพื่อนบ้านมาเปิดประตูให้อินออกมา เด็กทั้งสามก็เลยพากันไปอาบน้ำคลองหลังวัดโพธาวาส (เพื่อความสะดวกของเนื้อเรื่อง ต่อไปผมจะเรียกวัดนี้สั้น ๆ ว่าวัดโพธิ์)  ก่อนหน้าวันเกิดเหตุมียายข้างบ้านอินมาบอกกับแม่อินว่าอย่าตีอินให้มากนัก  เพราะยายคนนี้แกฝันว่ามีหญิงชราอาศัยอยู่ในจอมปลวกข้างบ้านอินนั่นล่ะเค้าจะพาอินไปอยู่ด้วย ยายข้างบ้านก็นำเรื่องความฝันไปเล่าให้แม่ของอินฟัง เพื่อจะแก้ไข แต่เคราะห์ร้ายเป็นของอิน เพราะแม่ของอินไม่เชื่อเรื่องความฝันดังกล่าว แม่ของอินก็ยังตีอินอยู่ตลอดเวลา


     วันเกิดเหตุ เวลาประมาณบ่าย 3 โมง เด็กทั้ง 3 ชวนกันไปเล่นน้ำที่วัดโพธิ์ (วัดนี้ที่ผมบวชในคืนแรก ผีจากคลองวัดโพธิ์ขึ้นมาจากคลองมาขอส่วนบุญ ดังผมเล่าไว้ในเรื่องเล่าฯ ตอนที่เท่าไหร่ จำไม่ได้แล้วสิ) เล่นน้ำกันทั้งชุดนักเรียนจนกระทั่ง 4 โมงกว่าเกือบ 5 โมงเย็น ขณะที่เด็กทั้ง 3 เล่นน้ำกันอยู่นั้น พระสรงน้ำอยู่อีกท่าหนึ่งซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกันของแม่น้ำ สถานที่อาบน้ำในคลองวัดโพธิ์ในสมัยก่อนมีต้นไทรและบ่อน้ำร้างอยู่ใต้คลอง (สมัยที่ผมบวช ในปี พ.ศ.2526 ไม่มีต้นไทรและบ่อน้ำดังกล่าวแล้ว) พออาบไปสักครู่หนึ่ง เด็ก ๆ ก็ขี่คอซ้อนกัน 3 คน โดยอิน(คนตาย)อยู่ล่างสุด สาวอยู่กลาง และปุ๋ยอยู่บนสุด ก็ขี่คอกันอย่างนั้นจนเพลิดเพลิน กระทั่งเดินตกลงไปในบ่อน้ำร้างใต้คลองวัดโพธิ์นั่นเอง ทันที่ตกลงไปในบ่อน้ำ เด็กทั้ง 3 ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เพราะน้ำวนและดูดทำให้ไม่สามารถขึ้นมาได้ อิน(คนตาย)เสียสละผลักเพื่อนทั้ง 2 ขึ้นมาจากบ่อได้ แต่ตัวอินเองไม่สามารถขึ้นมาจากบ่อได้ เพราะสาเหตุดังกล่าว และตนเองอยู่ก้นบ่อด้วย สาวและปุ๋ยเมื่อขึ้นจากบ่อน้ำได้ ก็ตะโกนให้พระช่วยอินขึ้นจากบ่อน้ำ พระก็รีบมาช่วย โดยดำน้ำลงไปควานหาอิน แต่ไม่กล้าที่จะลงไปในบ่อน้ำ เนื่องจากพระและคนในละแวกนั้นรู้กันว่า บ่อน้ำนี้ใครก็ตามลงไปแล้ว ไม่สามารถขึ้นมาได้ เชื่อกันว่า มีผีพรายคอยดึงเอาไว้ (และก็มีจริง ๆ ตอนที่เอาศพของอินขึ้นมา ) ปุ๋ยและสาวรีบกลับบ้านมาซ่อนตัวอยู่ในบ้านด้วยความตกใจกลัวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระที่วัดโพธิ์รู้จักว่าผู้ตายเป็นใคร มีญาติและบ้านอยู่ตรงไหนก็ไปตามญาติของอินมา เมื่อญาติของอินมาถึงคลองก็ว่าจ้างคนที่ดำน้ำเก่ง ๆ งมหาศพของอิน เมื่อดำน้ำลงไปหาศพอินรอบแรกไม่พบอะไร รอบที่ 2 เท้าเขาไปเหยียบบ่าอินเข้า เขาก็บอกว่าไม่กล้าลงไปในบ่อ เนื่องจากรู้ดีว่าบ่อนี้ลงไปแล้วขึ้นมาไม่ได้ แต่ทราบว่าเด็กตายในท่ายืน เพราะเท้าของเขาไปเหยียบบ่าของเด็ก เขาต้องใช้วิธีเอาเบ็ดตกปลาเกี่ยว ปรากฏว่าเบ็ดไปเกี่ยวติดเสื้อของอิน ได้ศพขึ้นมาประมาณ 6 โมงเย็น ในตัวศพไม่มีเลือดเลย แต่เลือดออกที่จมูก หู สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ขาของศพมีรอยนิ้วมือคน เหมือนมีคนมาจับขาเด็กเอาไว้ไม่ให้ขึ้นมาจากน้ำ และก็ทำสำเร็จเสียด้วยสิ ซึ่งศพของอินก็ทำพิธีบำเพ็ญกุศลที่วัดโพธิ์นั่นละครับ


     ขณะศพอินอยู่ที่วัดโพธิ์ การบำเพ็ญกุศลศพ 2 คืนผ่านไปไม่มีอะไร ตกคืนที่ 3 จันคู่แฝดของอินไม่กล้านอนคนเดียวที่บ้าน เพราะทุกคนในบ้านไปงานศพกันหมด จันก็เลยมาชวนปุ๋ยไปนอนเป็นเพื่อน ด้วยความกลัวและเป็นเด็ก ทั้งอินและปุ๋ยปิดประตูนอน จนกระทั่งตี 2-3 ทั้ง 2 ก็ได้ยินเสียงคนเปิดหม้อข้าว รื้อจาน จันพูดกับปุ๋ยด้วยความอกสั่นขวัญระทึกว่าสงสัยอินมากินข้าว เพราะก่อนอินจะออกจากบ้านไปเล่นน้ำและเสียชีวิตนั้น อินไม่ได้กินข้าวก่อนออกจากบ้าน เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งถึงคืนที่ 4 ก็มีเหตุการณ์ณ์เกิดขึ้นที่บ้านของปุ๋ย กล่าวคือ คืนนั้นปุ๋ยไปทำงานกับแม่ที่ร้านอาหาร เวลาประมาณตี 3 ขณะที่แม่และปุ๋ยทำงานอยู่นั้น ปรากฏว่า ปุก, สาว, บ่าว พี่น้องทั้ง 3 ของปุ๋ยวิ่งหน้าตาตื่นเป็นเจ๊กตื่นไฟมาหาแม่กับปุ๋ยที่ร้านอาหาร พร้อมกับกล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า อินมาหาที่บ้าน และวิ่งไปรอบบ้านจนทั้ง 3 พี่น้องนอนไม่ได้เลย แม่ของปุ๋ยให้ลูกทั้งหมดรอที่ร้านอาหาร และค่อยกลับบ้านพร้อมกัน ประมาณตี 4 กว่า ๆ ถึงจะกลับบ้าน คืนต่อมา ทุกคนในบ้านของปุ๋ยไปงานศพอิน พี่สาวของปุ๋ย คือ ปุกไปจุดธูปหน้าศพอิน พร้อมกับกล่าวว่า อย่าให้อินมาหลอกหลอนกันเลย เพราะกลัวอินกันหมดทั้งบ้านแล้ว เหมือนอินจะรู้ในคำกล่าว เหตุการณ์ในคืนต่อ ๆ มาก็เงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ......... จนกระทั่งถึงวันเผาศพอิน ปุ๋ยและครอบครัวก็ได้ไปงานศพอินที่วัดโพธิ์ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นเตาเผาศพแบบโบราณ คือ เป็นเชิงตะกอน 2 อันเผากันกลางแจ้งในที่โล่ง หลังจากเผาไปสักพักใหญ่ ปรากฏว่าศพอินดีดขึ้นมานั่ง แบบเราย่างปลาแล้วปลาถูกความร้อนงอตัวขึ้นมายังไงยังงั้น สัปเปร่อเห็นเช่นนั้นไปเรียกพี่สาวของอินชื่อ ติ๋ว พี่ติ๋วก็มาจุดธูปบอกอินว่าให้อินไปสบายไม่ต้องห่วงคนข้างหลัง หลังจากนั้นสัปเปร่อก็เอาขอนไม้มาทับศพ เผาต่อไปจนกระทั่งมอดไหม้เป็นธุลี


     เรื่องที่ 2 ของปุ๋ย คือ ปุ๋ยมีลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเป็นลูกของลุง ชื่อ ป้อม ได้เล่นกับเพื่อนวัยรุ่น 2 คนแล้วเกิดการทะเลาะกัน พ่อของป้อมออกมาห้าม แต่วัยรุ่นทั้ง 2 ไม่ยอม พ่อของป้อมจึงบันดาลโทสะชกวัยรุ่นทั้ง 2 ทันที และบอกว่าหากยังไม่รีบกลับไปจะโดนยิงเป็นแน่ ....... หลังจากนั้น 2 วันวัยรุ่นทั้ง 2 กลับมาที่บ้านของป้อมและถามว่า พ่อของป้อมอยู่ไหม ป้อมบอกว่าไม่อยู่ ออกไปขับรถตุ๊ก ๆ วัยรุ่นทั้ง 2 ก็บอกว่า เขาจะกลับบ้านแต่ไม่มีรถกลับ ให้ป้อมไปส่งได้ไหม ป้อมตกลงไปส่ง โดยขับรถมอเตอร์ไซค์และให้วัยรุ่นทั้ง 2 คนซ้อนท้าย เมื่อไปถึงวัดโพธิ์(อีกแล้ว) 1 ใน 2 วัยรุ่นล็อคคอป้อม รถมอเตอร์ไซค์ก็ล้มลง ป้อมเห็นท่าไม่ดี ร้องให้คนแถวนั้นช่วย ชาวบ้านแถวนั้นได้ยินแต่ไม่มีใครกล้าออกมา เพราะขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 4 ทุ่ม (4 ทุ่มของต่างจังหวัดเมื่อ 30 ปีมาแล้วนะครับ) ป้อมหนีตายวิ่งเข้าไปในประตูป่าช้าวัดโพธิ์ วัยรุ่น 1 ใน 2 คนถือไม้หน้าสามตีแสกหน้าป้อมอย่างแรง พอป้อมล้มลงก็โดนตีที่หน้าผากซ้ำอีกครั้ง และท้ายทอยตามลำดับ ป้อมเสียชีวิตทันที วัยรุ่นทั้ง 2 คนนำกระสอบที่เตรียมมาใส่ศพป้อมจะลากไปทิ้งที่คูน้ำวัดโพธิ์ บังเอิญช่วงนั้นมีชายคนหนึ่งเดินกลับมาจากดูหนังกลางแปลง ก็ตะโกนถามขึ้นว่า ทำอะไร วัยรุ่นทั้ง 2 ตกใจทิ้งกระสอบที่ใส่ศพป้อมทันที ชายคนนั้นก็เดินมาเปิดดูกระสอบว่าคืออะไร เมื่อเห็นศพป้อมก็จำได้ว่าป้อมเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ก็ไปตามพ่อของป้อมมา  ซึ่งขณะนั้นทางบ้านป้อมกำลังหาป้อมกันจ้าละหวั่น  เพื่อนบ้านบอกว่ามีวัยรุ่น 2 คน มาถามหาพ่อของป้อม และป้อมก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งสองวัยรุ่นนั้น ทุกคนในบ้านพ่อของป้อมก็ไปวัดโพธิ์ มีคนทักขึ้นว่าศพตายโหงไม่ควรนำเข้าบ้าน แม่ของป้อมไม่เชื่อก็เป็นลูกตัวเองทำไมจะนำเข้าบ้านไม่ได้ ก็นำศพป้อมขณะนั้นยังไม่ได้ใส่โลงมาวางพักศพไว้กลางลานบ้าน จนกระทั่งเกือบเช้าจึงนำศพป้อมไปวัดโพธิ์เพื่อใส่โลงและบำเพ็ญกุศลศพต่อไป  ตกคืนที่ 2 ปุ๋ย และเล็ก,หญิง (2 คนหลังนี่เป็นน้องของป้อม) ชวนกันไปดูโทรทัศน์ที่ข้างบ้าน (สมัยนั้นใครมีโทรทัศน์ คือ รวยครับ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีกัน) ขณะเด็กทั้ง 3 เดินกลับบ้าน เวลาในขณะนั้นประมาณ 4 ทุ่ม เล็กมีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ทั้ง 3 คนก็ได้ยินเสียงคนเดินตามหลัง แต่ไม่มีใครกล้าหันไปมอง เพราะทั้ง 3 รู้แก่ใจดีว่าน่าจะเป็นป้อม จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้าน ทั้ง 3 คนก็ตกลงกันว่า พอนับ 1-3 หันหน้าไปดูด้านหลังพร้อมกัน คุณพระช่วย!!! ภาพที่เห็น ป้อมยืนตัวสูงโย่ง สูงแบบเปรตยังไงยังงั้น คือ สูงมาก ทั้ง 3 ออกวิ่งโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องนับ 1-3 ให้เสียเวลา ทั้ง 3 ก็ไปเล่าให้พ่อของป้อมฟัง พ่อของป้อมก็ตอบว่า ไม่มีอะไรหรอก ป้อมตามมาคุ้มครองน้อง ๆ ผมขอตัดภาพมาที่วัดนะครับ พ่อของป้อมเปิดฝาโลงเพื่อดูหน้าป้อมลูกชาย พร้อมกับเปิดฝาปลากระป๋องและแกก็นำที่เปิดปลากระป๋องมากรีดข้อมือให้เลือดไหล แล้วนำเลือดไปป้ายลิ้นของป้อม (พ่อของป้อมมีความรู้ทางไสยศาสตร์ระดับหนึ่ง) พร้อมกับกล่าวว่า เกิดชาติหน้าให้ป้อมเกิดมาเป็นพ่อลูกกันอีก ก่อนปิดฝาโลงได้พูดกับป้อมว่า ไหนๆ ก็ตายแล้ว ให้ไปขี่คอคนทำร้ายมา มันศักดิ์สิทธิ์อะไรเช่นนั้น คืนต่อมาวัยรุ่น 2 คนที่ฆ่าป้อม มาผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ที่ประตูวัดโพธิ์ ฝ่ายพ่อและญาติ ๆ ของป้อมเห็นเช่นนั้น ก็ถือปืนวิ่งไล่ทันที วัยรุ่นทั้ง 2 วิ่งไปหลบที่ร้านน้ำชาหน้าวัด โชคเป็นของวัยรุ่นทั้ง 2 คนนี้ เพราะมีตำรวจนั่งกินน้ำชาอยู่ในร้านพอดี พ่อของป้อมได้แต่ไปยืนมองหน้าวัยรุ่นทั้ง 2 ที่ฆ่าลูกตนเองอย่างแค้นเคือง ขอกลับมาที่งานศพ เล็กเข้าห้องน้ำ และมีผู้หญิง 2 คนเฝ้าประตูอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ เพราะไฟในห้องน้ำเสีย มันเลยมืดสนิท แถมเป็นงานศพผีตายโหงด้วย กึ๋ย!!!น่ากลัวพิลึก พอถึงตอนออก เล็กบอกให้เปิดประตูห้องน้ำ เพราะเล็กเปิดจากข้างในไม่ได้ ทั้ง 2 คนที่อยู่นอกประตูก็แปลกใจ บอกว่าไม่ได้ล็อคจากด้านนอก เล็กอยู่ในห้องน้ำก็ใจเสียสิครับ ร้องเสียงหลง 2 คนที่เฝ้าหน้าห้องน้ำ จำใจทิ้งเล็ก รีบวิ่งไปบอกพ่อของป้อม เมื่อพ่อของป้อมมาถึงประตูหน้าห้องน้ำ ก็บอกว่า ป้อมอย่าแกล้งน้อง น้องกลัว สิ้นเสียงของพ่อป้อม ประตูห้องน้ำเปิดออกเองโดยไม่มีใครจับ เหลือเชื่อชะมัด ..... คืนถัดมา ขณะที่คนเฝ้างานศพนั่งเล่นไพ่กัน ก็มีแมวดำตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนฝาโลง ก็มีคนไปไล่แมวตัวนั้น น่าแปลก พอแมวตัวนั้นถึงพื้นก็หายไป หายังไงก็ไม่พบ สักครู่วงไพ่ก็กระเจิง เพราะทุกคนเห็นเงาดำออกมาจากโลงข้ามหัวพวกเขาออกไปข้างนอก หลังจากนั้นไม่กี่วัน วัยรุ่น 2 คนที่ฆ่าป้อมก็ถูกตำรวจยิงตาย เพราะไปปล้นทรัพย์ชาวบ้าน


     เรื่องที่ 3 ของปุ๋ย ผ่านไปประมาณ 6 เดือน พี่สะใภ้ของป้อม ท้องได้ 5-6 เดือน และได้ทะเลาะกับพี่ชายของป้อม จนถูกยิงตาย พี่ชายของป้อมก็ถูกจับทันทีทันควัน ศพพี่สะใภ้ถูกนำมาไว้ที่วัดโพธิ์(อีกแล้ว) ปุ๋ยก็มานอนที่บ้านของพ่อป้อม ปุ๋ย, เล็ก, หญิงอยู่กัน 3 คนในบ้าน และออกไปซื้อเทียนและลูกอม เพราะเมื่อน้ำมันจากตะเกียงหมด ไฟก็จะดับ เนื่องจากบ้านหลังนี้อยู่ลึกจากถนนไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้ง 3 ถึงบ้านก็เล่นหนังตะลุง โดยใช้มุ้งแทนจอ เล่นกันเพลิน จนเล็กและหญิงหลับคาตัวหนังตะลุง ปุ๋ยตะโกนเรียกทั้ง 2 คน แปลกที่ไม่มีใครตื่นเลย ปุ๋ยมองไปที่ปลายมุ้งอีกด้านหนึ่ง ก็มองเห็นเงาของผู้หญิงผมยาวกำลังนั่งหวีผม ปุ๋ยตกใจกลัว เอามือไปเขย่าเล็กและหญิง ก็ไม่ตื่นอีก เงานั้นก็หายไป สักพักคราวนี้ มีเงาผู้หญิงอุ้มลูก กำลังเขย่าลูกในอกเพื่อให้ลูกหลับ ปุ๋ยเอาลูกอมขว้างไปที่เงา เงานั้นก็หายไป ครั้งนี้ของจริงมาครับ ภาพของพี่สะใภ้ของป้อมที่ถูกพี่ชายป้อมยิงตายมานั่งจ้องหน้าปุ๋ย ปุ๋ยตกตะลึงพรึงเพริด ทั้งผีและคนนั่งจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นสักอึดใจหนึ่ง จนกระทั่งพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย พ่อของป้อมนั่นเองขับรถตุ๊ก ๆ เข้ามา แสงไฟจากหน้ารถส่องมาที่มุ้ง ภาพของพี่สะใภ้ที่จ้องหน้าปุ๋ยก็หายไป หากพ่อของป้อมไม่กลับมา ปุ๋ยคงสติแตกแน่ .....


     เรื่องที่ 4 ของปุ๋ย สมัยที่ปุ๋ยทำงานอยู่ที่ร้านขายข้าวเหนียวมะม่วง ขณะนั้นปุ๋ยท้องได้ 4-5 เดือน เวลาประมาณตี 4 ได้ยินเสียงพระตีระฆังจากวัดโพธิ์ (อีกแล้ว) ปุ๋ยนอนอยู่ที่เฉลียงบนชั้น 2 ของบ้าน เห็นเงาดำ ๆ ของผู้ชายร่างสูงใหญ่นุ่งโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ ปีนหลังคาบ้านอื่นมายังบ้านที่ปุ๋ยนอนอยู่ ปุ๋ยมองจนกระทั่งเงาดำนี้กำลังจะปีนขึ้นมาที่เฉลียงที่ปุ๋ยนอนอยู่ ร่างดำนั้นเมื่อขึ้นมาถึงก็มาคร่อมร่างปุ๋ย (ปุ๋ยตกใจตั้งแต่แรกที่เห็นร่างนี้ปีนบ้านคนอื่น แต่ตอนนั้นปุ๋ยจะร้องเรียกคนในบ้านก็ไม่สามารถขยับปากหรือร่างกายได้ จนกระทั่งเงาดำมาคร่อมที่ร่าง) ปุ๋ยก็ต่อสู้ ปล้ำกันอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่ ปุ๋ยนึกถึงหลวงพ่อกล่อม (พระเกจิอาจารย์ดังของวัดโพธิ์ในอดีต) ร่างดำนั้นก็เลยออกไป ปุ๋ยเห็นชัดเจนเฉพาะรูปร่างและการแต่งกาย แต่เห็นหน้าไม่ชัด  พอกล่าวถึงหลวงพ่อกล่อม วัดโพธาวาส ก็นึกถึงสมัยที่แม่ผมคลอดผมมาใหม่ ๆ ก็ย้อนหลังไปประมาณเกือบ 60 ปีมาแล้ว หลังจากคลอดผม แม่ผมมีอาการแน่นหน้าอกโดยหาสาเหตุไม่ได้ ยายแกก็ไม่สบายใจหาหนทางแก้ไขต่าง ๆ นานา จนกระทั่งยายได้เดินทางผ่านมาถึงวัดหน้าเมืองซึ่งใกล้กันกับวัดโพธาวาส พระก็ถามว่ายายมีความเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใด พระพอทราบเช่นนั้นก็ให้ยามาให้พาไปให้แม่ผมกิน พอแม่ผมกินยาดังกล่าวปรากฏว่า พวกผ้าก๊อซและสำลีหลุดมาจากช่องคลอดทันที อาการแน่นหน้าอกหายเป็นปลิดทิ้ง  เป็นความผิดของทางโรงพยาบาลที่ลืมผ้าก๊อตและสำลีเอาไว้ในตัวคนไข้ หากเป็นสมัยนี้คงฟ้องกันน่าดูแล้วล่ะ สมัยก่อนหมอว่ายังไง คนไข้ก็ว่าตามหมอ ไม่ดื้อดึงดันแต่ประการใด  ดังข่าวคราวที่คนไข้ฟ้องหมอในปัจจุบัน บางทีเราเป็นบุคคลภายนอกมองว่าโหดร้ายไปฟ้องหมอทำไม หมอเค้าไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความผิดพลาด แต่คิดในมุมกลับกับ หากคน ๆ นั้น เป็นพ่อเรา แม่เรา พี่เรา น้องเรา สามีเรา ภรรยาเรา ลูกเรา เราก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้เรารีบทำความดีทุกขณะจิต อย่าให้เจ้ากรรมนายเวรตามทัน คิดดูดี ๆ ทำไมคนตั้งหลายตั้งพันทำไมไม่โดน มาโดนเราเพียงคนเดียว ก็น่าคิดนะครับ...........


     ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านเทอญ ครั้งต่อไปผมมีเรื่องอะไรดี ๆ ค่อยมาเล่าสู่กันฟังใหม่นะครับ......


โกสินทร์

โกสินทร์

ท่านที่ชื่นชอบวัวธนู, ควายธนู สามรถกลับไปดูได้ในเรื่องเล่าจากโกสินทร์ ตอนที่ 36, 40, 45, 46, 47
Page : 1
Webboardแสดงความคิดเห็น
เยี่ยม   แย่   แย่   แย่   เขิน   หยอกล้อ  ตกใจ  ร้องไห้   สงสัย   ขอโทษ   หดหู่   อย่าน่ะ   ต่อว่า   โอเค
รูปภาพ
(นามสกุลไฟล์ควรเป็น [ jpg , jpeg , gif ] และไฟล์ไม่เกิน 3 MB.)
*ชื่อ
*สถานะ  
*อีเมล
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
*รหัสยืนยัน

หมายเหตุ : : กรุณากรอกข้อมูลที่มี * ทุกช่อง

 


 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด

 เสริมดวงออนไลน์ By jack kumanthong

 www.facebook.com/jackkumanthong

 
view