ความคิดเห็นที่ 2
31/07/2011
, 19:26
Quote
พระกินเณร
« เมื่อ: 14 เมษายน 2551, 01:01:31 »
พระกินเณร
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราว 2 อาทิตย์ก่อนครับคือมีเพื่อนของผมท่านหนึ่งเป็นชาวต่างประเทศโทรศัพท์เข้ามาถามผมว่า รู้จักพระกินเณรบ้างไหม? เอ่อ.....ก็พอได้ยินได้ฟังมาบ้างครับ ว่าแต่ทำไม่ล่ะ? ผมถามกลับไป เพื่อนผมท่านนี้ก็บอกมาประมาณว่าจะเอาไปเขียนรายงานส่งอาจารย์เกี่ยวกับความเชื่อของชาวไทยว่าด้วยเรื่อง ตำนานของพระกินเณร เอาล่ะผมจะเล่าให้ฟัง.............สมัยเมื่อราวสักเกือบ 10 ปีก่อนตอนที่ผมมีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปทางเเถบอีสานใต้ผมเคยได้ยินชาวบ้านแถบจังหวัดทางภาคอีสานเล่าลือกันถึงเรื่องของพระประทานองค์หนึ่งในอุโบสถ(ชาวบ้านไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเป็นของที่วัดไหน)ว่าท่านนั้นเป็น พระกินเณร พระกินเณรคืออะไร? ถามไถ่ชาวบ้านดูก็พอเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในอุโบสถธรรมดาๆนี่แหล่ะ แต่ประมาณว่าพระพุทธรูปเหล่านี้มักที่จะมีใบหน้าที่แลดูน่ากลัว ชาวบ้านบ้างคนอธิบายให้ฟังว่าใบหน้าของท่านนั้นแลดู ดุ ยังไงก็ไม่รู้ซึ่งแปลกไปจากพระพุทธรูปโดยทั่วไปที่มีใบหน้านิ่มนวลและแลดูสงบอิ่มเอม ในเรื่องของการปั้นพระพุทธรูปนี่ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า การปั้นพระพุทธรูปในบ้างครั้งนั้นคนที่เป็นช่างปั้นมักนิยมเอาเค้าโครงใบหน้าของตนเองใส่เข้าไปอยู่ในพระพุทธรูปด้วยเสมอๆ อย่างตอนที่ผมเรียนศิลปะอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมได้ไปนั่งดูรุ่นพี่หลายๆท่านที่ภาควิชาศิลปะปั้นพระพุทธรูปกันแล้วปรากฏว่า พระพุทธรูปที่ปั้นออกมาเหล่านั้นแลดูคล้ายใบหน้าของรุ่นพี่ในแต่ละท่าน(ที่ปั้น)ด้วยกันทั้งสิ้น เลยกลายเป็นเรื่องที่เอาไปพูดหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานในภาควิชา ในเรื่องการปั้นพระพุทธรูปที่แลดูแล้วน่ากลัวนี่ก็น่าที่จะได้เค้าโครงมาจากการปั้นพระตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นบ้างไม่มากก็น้อย มาพูดกันถึงเรื่องพระกินเณรต่อดีกว่าครับ เนื่องด้วยชาวบ้านในพื้นที่ล้วนเชื่อกันว่าพระพุทธรูปที่มีใบหน้าดุนั้นเป็นพระกินเณรแล้วนี่ อีกประการหนึ่งก็น่าที่จะเกิดมาจากเรื่องเล่าสู่ตกทอดกันมาที่ว่า เณรส่วนใหญ่(ในสมัยก่อน)มักจะมีนิสัยที่ค่อนข้างจะซุกซนมาก( ก็ประมาณนิสัยเด็กๆล่ะครับ)และชอบเข้าไปวิ่งเล่นในอุโบสถ พอชอบเข้าไปวิ่งเล่นกันในพระอุโบสถคราวนี้แหล่ะเณรมักทำสิ่งของในนั้นตกหล่นเสียหาย หลวงพ่อท่านเลยใช้กลวิธีหลอกเอาว่าพระในอุโบสถนั่นเป็น พระกินเณร หากเข้าไปวิ่งเล่นอาจจะถูกท่าน(พระกินเณร)จับกินเอาก็ได้ และเนื่องด้วยใบหน้าของพระกินเณรในวัดดังกล่าวมีใบหน้าที่แลดูน่ากลัว ประกอบกับหากสังเกตให้ดีจะแลเห็นว่าที่ริมฝีปากของท่าน(พระกินเณร)จะถูกฉาบทาไปด้วยสีแดงสดคล้ายเลือด พวกเณร(เหล่านั้น)เลยเอาไปเล่าลือกันต่างๆนานาไปว่า พระพุทธรูปในอุโบสถได้จับเณรกินไปเสียแล้ว และเรียกกันว่า พระกินเณร เรื่อยมา พระกินเณรจึงน่าที่จะเป็นเพียงความเชื่อที่ว่าด้วยความไม่ต้องการให้ข้าวของในอุโบสถเสียหายจึงเกิดการผูกเรื่องพระกินเณรขึ้นมา และเนื่องด้วยพระพุทธรูปเหล่านั้นเองแลดูมีเค้าโครงของใบหน้าที่ดูน่ากลัว มีสีแดงสดอยู่ที่ริมฝีปากคล้ายกับว่าเพิ่งจับเณรมากินจนเลือดไหลย้อยออกมา ความเชื่อในเรื่องพระกินเณรจึงแลดูขลัง เป็นเรื่องจริง จนในที่สุดกลายมาเป็นเรื่องเล่าจากปากสู่ปาก จากรุ่นสู่รุ่น มีการถ่ายเทตกทอดจากอดีตมาจวบจนปัจจุบัน กลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่ชาวบ้านที่มีความเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวนั้นแลเป็นเรื่องจริง
คุณาพร/กิตติพร
พระกินเณร
« เมื่อ: 14 เมษายน 2551, 01:01:31 »
พระกินเณร
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราว 2 อาทิตย์ก่อนครับคือมีเพื่อนของผมท่านหนึ่งเป็นชาวต่างประเทศโทรศัพท์เข้ามาถามผมว่า รู้จักพระกินเณรบ้างไหม? เอ่อ.....ก็พอได้ยินได้ฟังมาบ้างครับ ว่าแต่ทำไม่ล่ะ? ผมถามกลับไป เพื่อนผมท่านนี้ก็บอกมาประมาณว่าจะเอาไปเขียนรายงานส่งอาจารย์เกี่ยวกับความเชื่อของชาวไทยว่าด้วยเรื่อง ตำนานของพระกินเณร เอาล่ะผมจะเล่าให้ฟัง.............สมัยเมื่อราวสักเกือบ 10 ปีก่อนตอนที่ผมมีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปทางเเถบอีสานใต้ผมเคยได้ยินชาวบ้านแถบจังหวัดทางภาคอีสานเล่าลือกันถึงเรื่องของพระประทานองค์หนึ่งในอุโบสถ(ชาวบ้านไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเป็นของที่วัดไหน)ว่าท่านนั้นเป็น พระกินเณร พระกินเณรคืออะไร? ถามไถ่ชาวบ้านดูก็พอเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในอุโบสถธรรมดาๆนี่แหล่ะ แต่ประมาณว่าพระพุทธรูปเหล่านี้มักที่จะมีใบหน้าที่แลดูน่ากลัว ชาวบ้านบ้างคนอธิบายให้ฟังว่าใบหน้าของท่านนั้นแลดู ดุ ยังไงก็ไม่รู้ซึ่งแปลกไปจากพระพุทธรูปโดยทั่วไปที่มีใบหน้านิ่มนวลและแลดูสงบอิ่มเอม ในเรื่องของการปั้นพระพุทธรูปนี่ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า การปั้นพระพุทธรูปในบ้างครั้งนั้นคนที่เป็นช่างปั้นมักนิยมเอาเค้าโครงใบหน้าของตนเองใส่เข้าไปอยู่ในพระพุทธรูปด้วยเสมอๆ อย่างตอนที่ผมเรียนศิลปะอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมได้ไปนั่งดูรุ่นพี่หลายๆท่านที่ภาควิชาศิลปะปั้นพระพุทธรูปกันแล้วปรากฏว่า พระพุทธรูปที่ปั้นออกมาเหล่านั้นแลดูคล้ายใบหน้าของรุ่นพี่ในแต่ละท่าน(ที่ปั้น)ด้วยกันทั้งสิ้น เลยกลายเป็นเรื่องที่เอาไปพูดหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานในภาควิชา ในเรื่องการปั้นพระพุทธรูปที่แลดูแล้วน่ากลัวนี่ก็น่าที่จะได้เค้าโครงมาจากการปั้นพระตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นบ้างไม่มากก็น้อย มาพูดกันถึงเรื่องพระกินเณรต่อดีกว่าครับ เนื่องด้วยชาวบ้านในพื้นที่ล้วนเชื่อกันว่าพระพุทธรูปที่มีใบหน้าดุนั้นเป็นพระกินเณรแล้วนี่ อีกประการหนึ่งก็น่าที่จะเกิดมาจากเรื่องเล่าสู่ตกทอดกันมาที่ว่า เณรส่วนใหญ่(ในสมัยก่อน)มักจะมีนิสัยที่ค่อนข้างจะซุกซนมาก( ก็ประมาณนิสัยเด็กๆล่ะครับ)และชอบเข้าไปวิ่งเล่นในอุโบสถ พอชอบเข้าไปวิ่งเล่นกันในพระอุโบสถคราวนี้แหล่ะเณรมักทำสิ่งของในนั้นตกหล่นเสียหาย หลวงพ่อท่านเลยใช้กลวิธีหลอกเอาว่าพระในอุโบสถนั่นเป็น พระกินเณร หากเข้าไปวิ่งเล่นอาจจะถูกท่าน(พระกินเณร)จับกินเอาก็ได้ และเนื่องด้วยใบหน้าของพระกินเณรในวัดดังกล่าวมีใบหน้าที่แลดูน่ากลัว ประกอบกับหากสังเกตให้ดีจะแลเห็นว่าที่ริมฝีปากของท่าน(พระกินเณร)จะถูกฉาบทาไปด้วยสีแดงสดคล้ายเลือด พวกเณร(เหล่านั้น)เลยเอาไปเล่าลือกันต่างๆนานาไปว่า พระพุทธรูปในอุโบสถได้จับเณรกินไปเสียแล้ว และเรียกกันว่า พระกินเณร เรื่อยมา พระกินเณรจึงน่าที่จะเป็นเพียงความเชื่อที่ว่าด้วยความไม่ต้องการให้ข้าวของในอุโบสถเสียหายจึงเกิดการผูกเรื่องพระกินเณรขึ้นมา และเนื่องด้วยพระพุทธรูปเหล่านั้นเองแลดูมีเค้าโครงของใบหน้าที่ดูน่ากลัว มีสีแดงสดอยู่ที่ริมฝีปากคล้ายกับว่าเพิ่งจับเณรมากินจนเลือดไหลย้อยออกมา ความเชื่อในเรื่องพระกินเณรจึงแลดูขลัง เป็นเรื่องจริง จนในที่สุดกลายมาเป็นเรื่องเล่าจากปากสู่ปาก จากรุ่นสู่รุ่น มีการถ่ายเทตกทอดจากอดีตมาจวบจนปัจจุบัน กลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่ชาวบ้านที่มีความเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวนั้นแลเป็นเรื่องจริง
คุณาพร/กิตติพร