http://www.kumanthongsiam.com
    สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 24/05/2008
ปรับปรุง 10/07/2021
สถิติผู้เข้าชม23,949,424
Page Views33,386,450
Menu
หน้าแรก
รวมรูปภาพ
เว็บบอร์ด
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    

 


เรื่องเล่า…… พระกินเณร ( วิเศษชัยชาญ )

(อ่าน 2107/ ตอบ 4)

กุมารทอง

พระกินเณร...จากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ


ภาพประกอบจาก Internet ไม่ใช่ภาพจริงแต่อย่างใด

ประสงค์ ลี้สุวรรณ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ

วันนี้ผมมีเรื่องสยองขวัญที่มีหลักฐานแน่นหนา ปรากฏชัดเจนมาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่อำเภอวิเศษชัยชาญจะมีถนนสายสุพรรณบุรี - อ่างทอง ตัดผ่าน และตรงบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย จะมีถนนสายวิเศษฯ-ผักไห่ ตัดผ่านกันตรงสี่แยกไฟแดงนั้นเอง

ถ้าท่านมองไปทางโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จะเห็นอุโบสถวัดสุนทราราม เด่นตระหง่านปะทะสายตาอยู่นั้น และถ้าท่านก้าวย่างเข้าไปในบริเวณวัด เดินผ่านอุโบสถหลังใหม่จะพบอุโบสถหลังเก่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสุดๆ

จะแปลกอย่างไร โปรดพิจารณา...

ตัวพระอุโบสถเป็นรูปทรงโค้งสำเภา หน้าต่างโค้งมน หลังคาเป็นกระเบื้องกามู!

ที่แปลกกว่านั้นคือ หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา แต่กลับมีรูปคนประนมมือ ส่วนพระประธานนั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก

ใครๆ ที่พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเพราะฝีมือพม่าสร้าง และตรงนี้เองเป็นที่ก่อเหตุการณ์เขย่าขวัญชาวบ้านร้านช่องถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน

กล่าวคือ ภายในมีพระทรมานกายรูปปั้นอยู่ บรรยากาศมืดสลัว ดูอึมครึม ทั้งน่าอึดอัดและน่าสะพรึงกล้ว น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก เชื่อได้ว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเห็นเข้าจังๆ มีหวังต้องถอยหลังมาตั้งหลักใหม่เป็นแน่แท้ หลายๆ คนบอกว่าพอก้าวเข้าไปก็ขนลุกซู่ซ่าทันที

....และยิ่งเมื่อได้รับฟังเรื่องราว "พระกินเณร" มาก่อนด้วยแล้ว ท่านอาจจะต้องถอยหลังหลายก้าวทีเดียวเชียว!

มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาดังนี้...

เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมาแล้ว มีสามเณรผู้หนึ่งชื่อ "เสมือน" ผู้มีอุปนิสัยซุกซนหาตัวจับยาก หลังจากฉันเพลแล้ว มีผู้พบเห็นว่า ได้แอบออกจากกุฏิเข้าไปในดงกระถินข้างวัดแต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเข้าไปทำอะไรแน่

จนกระทั่งบ่ายก็แล้ว เย็นค่ำก็แล้ว ยังไม่กลับกุฏิเสียที ...พระภิกษุทุกรูปต่างใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ถ้าโดยนิสัยของสามเณรเสมือนแล้ว น่ากลัวจะแอบสึก แล้วแล่นหนีไปไหนต่อไหนเป็นแน่นอน เพราะรูปการณ์มันเข้ากับอุปนิสัยมาก จึงได้พร้อมใจกับฟันธงเช่นนั้น

จากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลยว่าสามเณรเสมือนหายสาบสูญไปไหนกันแน่?

ต่อมา ท่านสมภารให้พระภิกษุและลูกศิษย์วัด ไปช่วยกันถากถางกระถินและพงไม้ที่รกเรื้อต่างๆ ให้เตียน เพื่อสะดวกแก่นัยน์ตาญาติโยมที่จะไป-มา ผ่านแถวนั้น...และแล้วก็เกิดเอะอะโวยวายกันขึ้น

เรื่องของเรื่องก็เพราะลูกศิษย์วัดคนหนึ่ง ได้พบเศษจีวรฉีกขาดตกอยู่ในดงกระถินจึงเรียกเพื่อนๆ ดู พระเณรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมามุงดูพร้อมกัน...ทุกคนต่างหันเหตีความว่า คงจะเป็นจีวรของสามเณรเสมือนแน่นอน!

ต่างก็เอะอะระความว่า....แล้วร่างกายหายไปไหนเสียเล่า?

เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการแยกย้ายกันตรวจตราบริเวณรอบๆ พื้นที่ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งได้ชักชวนกันเข้าไปในโบสถ์ (หลังเก่า) และเปิดประตูหน้าต่างดูว่าจะมีร่องรอยของสามเณรเสมือนเข้ามาหรือหาไม่...

พระกลุ่มหนึ่งก็เดินตามเข้าไปสมทบด้วย!

เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าไป มองเห็นสภาพภายในโบสถ์ได้ถนัด เด็กวัดกลุ่มนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดในบัดดล

นั่นคือ...มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่กับพื้นบ้าง กับกองไม้ใกล้ๆ นั้นบ้าง...รอยเลือดหยดเป็นทาง ตรงดิ่งไปยังฐานพระในรูปทรงทรมานกายน่าสยอง

ครั้นเกาะกลุ่มกันเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า...ที่ปากของพระทรมานกายมีเลือดสีแดงติดอยู่ เล่นเอาทั้งพระทั้งศิษย์วัดตกอกตกใจจนผงะหน้าไปตามๆ ต่างก็คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า

"พระทรมานกายกินสามเณรเสมือนไปแล้ว!!"

จากปากสู่ปาก จากชุมชนสู่ชุมชน ข่าวลือแพร่หลาย...กระจายเป็นไฟลามทุ่ง ไม่ช้าก็มีผู้คนแห่แหนมาดูรอยเลือดที่ปากพระทรมานกาย แล้วก็เล่าลือกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวน่าสยองพลันกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ชาวบ้านล้วนหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน

นั่นคือ...ไม่ทราบว่ามีมือดีที่ไหน หรือใครกันแน่ที่อุตริดอดเข้าไปในโบสถ์ คงจะมีเจตนาต้องการล้างอาถรรพณ์พระกินเณร จึงเอาตะปูตัวใหญ่ไปตอกปิดปากพระทรมานกาย...ปรากฏหลักฐานเห็นชัดมาจนทุกวันนี้!

ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเฉลยได้ว่า สามเณรเสมือนหายไปไหน เพราะสาบสูญโดยไร้ร่องรอยราวกับจากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง

...และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า พระทรมานกายกินสามเณรจริงๆ แหละหรือว่าเป็นแต่เพียงคำร่ำลือเท่านั้นเอง...แม้ว่าจะเป็นคำร่ำลืออันน่าหวาดสยอง และชวนให้ขนหัวลุกก็ตามที!






กุมารทอง

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
หลวงพ่อดำ หรือพระกินเณร (ปัจจุบันลงรักปิดทอง)

หลวงพ่อดำหรือพระกินเณร เป็นพระพุทธรูปที่องค์ใหญ่กว่าพระศรีศาสดา ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าประตูพระวิหารพระศรีศาสดาตอนใต้ เล่ากันว่าสามเณรรูปหนึ่งจะลาสิกขา ถือดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะบูชาพระพุทธรูปองค์นี้แล้วสามเณรก็หายไป ญาติโยมสงสัยเข้าไปดูใกล้ๆ พบรอยเลือดสดๆ อยู่ทั่วบริเวณพระโอษฐ์ของพระพุทธรูป ก็ลงความเห็นว่าพระกินสามเณรเข้าไปแล้ว จึงใช้ตะปูตอกที่พระโอษฐ์เพื่อมิให้กินใครๆอีก

เป็นไงบ้างครับ สำหรับรูปของพระกินเณรที่พิษณุโลก ปัจจุบันมีการลงรักปิดทองเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับพระกินเณรที่นครสวรรค์ ตอนนี้เรายังหารูปไม่ได้ ดูภาพของที่พิษณุโลกก่อนละกัน ไปละ

อีกเรื่อง

เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนที่วัดแห่งหนึ่งใน นครสวรรค์
มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นรูปปางยืน ขนาดเท่าตัวคนจริง เป็นพระพุทธรูปที่หลอมขึ้นมาใหม่นำมาที่วัดได้ไม่นาน

ที่วัดนั้นมีเณรและพระมาบวชกันจำนวนมากพอสมควร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีเหตุการณ์แปลก คือ สามเณรที่วัดหายตัวไปทีละคน ตอนแรกเจ้าอาวาสก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าสามเณรคงจะหนีกลับบ้าน ก็ได้เพราะยังเด็กอยู่อาจคิดถึงบ้าน

แต่แล้วสามเณรก็หายไปมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าอาวาสก็เริ่มเอะใจ
จนมาเป็นเรื่องกันตอนที่โยมพ่อ โยมแม่ ของสามเณรที่หายมาหา
ก็บอกว่าไม่ได้กลับไปบ้าน ช่วงนั้นพระผู้ดูแลโบสถ์ท่านบอกว่า เห็นว่ามีเศษผ้าจีวรขาดๆ
ไปติดอยู่ที่ปากพระพุทธรูปที่ว่า เอาออกหลายครั้งแล้วก็มีมาใหม่ทีแรกคิดว่าอาจมีใครเล่นพิเรนมากลั่นแกล้ง

แต่ท่านมาสังเกตุเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่ขึ้น
จากตอนแรกท่านว่าขนาดเท่าคนจริง ตอนนี้สูงสัก 2 เมตรได้แล้วมั้ง
ท่านว่าท่านคงคิดมาก ก็ไม่ค่อยได้ติดใจอะไร แต่ก็กำชับไม่ให้พระ สามเณร ออกมาข้างนอกตอนยามวิกาล แต่จะเห็นได้ว่าสามเณรที่หายตัวไป ส่วนมากจะอยู่กุฎิแถวๆพระพุทธรูปนั้น

แต่เหตุการณ์ก็ยังต่อเนื่องอยู่ สามเณรก็ยังคงหายตัวไปอีก
เจ้าอาวาสรู้สึกผิดสังเกตมาก จนพระท่านที่เฝ้าโบสถ์เรียกเจ้าอาวาส วิ่งมาด้วยความตกใจ เรียกเจ้าอาวาสไปดูอะไรอย่างหนึ่ง เมื่อท่านเจ้าอาวาสมาพบก็ได้แต่ตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว จากตอนแรกที่ผมบอกว่าเป็นปางยืน ขณะนี้ได้อยู่ในท่าปางนอน เป็นท่านอนตะแคงแล้วเอามือข้างหนึ่งดันเศียรเอาไว้ แล้วขนาดก็ใหญ่ขึ้นด้วย
ท่านบอกว่าตอนนั้นใหญ่กว่าคน 3 คนอีก

แล้วที่น่ากลัวคือ พบเศษจีวรติดที่แถวปากพระพุทธรูปนั้นอีกแล้ว
เห็นอย่างนี้ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่รอช้า จัดเวรยามเฝ้าพระพุทธรูปองค์นี้จนเช้า
วันรุ่งขึ้นจึงจ้างช่างประตู ทำเป็นประตูเหล็กล้อมกรอบให้ขนาดใหญ่กว่าตัวพระพุทธรูปเล็กน้อย ล้อมจนหมด นับจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์สามเณรหายอีกเลย แล้วก็ไม่พบสามเณรที่สูญหายไปจนถึงเดี๋ยวนี้เช่นกัน

-เรื่องนี้ฟังมาจากผู้สูงอายุ แถวบ้านนะ ฟังหูไว้หู ที่จริงไม่อยากเล่าเท่าไรเพราะเกี่ยวเนื่องถึงพระพุทธรูป อาจเป็นการทำลายศาสนาในทางลบได้ แต่มูลเหตมีจริง คนที่อยู่นครสวรร ถ้าอยากรู้ไปวัดวัดหนึ่ง ที่อยู่แถวๆตีนเขา เข้าไปท่านจะเห็นพระพุทธรูปปางนอน ขนาดยาวประมาณ 3-4 ช่วงคน ถูกตีประตูล้อมเอาไว้ขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย ไม่มีเครื่องหอมบูชา ไม่ให้กราบไหว้ แล้วก็ประตูถูกล็อคปิดตาย!!




กุมารทอง

พระกินเณร
« เมื่อ: 14 เมษายน 2551, 01:01:31 »
พระกินเณร

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราว 2 อาทิตย์ก่อนครับคือมีเพื่อนของผมท่านหนึ่งเป็นชาวต่างประเทศโทรศัพท์เข้ามาถามผมว่า “รู้จักพระกินเณรบ้างไหม?” เอ่อ.....ก็พอได้ยินได้ฟังมาบ้างครับ ว่าแต่ทำไม่ล่ะ? ผมถามกลับไป เพื่อนผมท่านนี้ก็บอกมาประมาณว่าจะเอาไปเขียนรายงานส่งอาจารย์เกี่ยวกับความเชื่อของชาวไทยว่าด้วยเรื่อง “ตำนานของพระกินเณร” เอาล่ะผมจะเล่าให้ฟัง.............สมัยเมื่อราวสักเกือบ 10 ปีก่อนตอนที่ผมมีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปทางเเถบอีสานใต้ผมเคยได้ยินชาวบ้านแถบจังหวัดทางภาคอีสานเล่าลือกันถึงเรื่องของพระประทานองค์หนึ่งในอุโบสถ(ชาวบ้านไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเป็นของที่วัดไหน)ว่าท่านนั้นเป็น “พระกินเณร” พระกินเณรคืออะไร? ถามไถ่ชาวบ้านดูก็พอเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในอุโบสถธรรมดาๆนี่แหล่ะ แต่ประมาณว่าพระพุทธรูปเหล่านี้มักที่จะมีใบหน้าที่แลดูน่ากลัว ชาวบ้านบ้างคนอธิบายให้ฟังว่าใบหน้าของท่านนั้นแลดู “ดุ” ยังไงก็ไม่รู้ซึ่งแปลกไปจากพระพุทธรูปโดยทั่วไปที่มีใบหน้านิ่มนวลและแลดูสงบอิ่มเอม ในเรื่องของการปั้นพระพุทธรูปนี่ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า การปั้นพระพุทธรูปในบ้างครั้งนั้นคนที่เป็นช่างปั้นมักนิยมเอาเค้าโครงใบหน้าของตนเองใส่เข้าไปอยู่ในพระพุทธรูปด้วยเสมอๆ อย่างตอนที่ผมเรียนศิลปะอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมได้ไปนั่งดูรุ่นพี่หลายๆท่านที่ภาควิชาศิลปะปั้นพระพุทธรูปกันแล้วปรากฏว่า พระพุทธรูปที่ปั้นออกมาเหล่านั้นแลดูคล้ายใบหน้าของรุ่นพี่ในแต่ละท่าน(ที่ปั้น)ด้วยกันทั้งสิ้น เลยกลายเป็นเรื่องที่เอาไปพูดหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานในภาควิชา ในเรื่องการปั้นพระพุทธรูปที่แลดูแล้วน่ากลัวนี่ก็น่าที่จะได้เค้าโครงมาจากการปั้นพระตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นบ้างไม่มากก็น้อย มาพูดกันถึงเรื่องพระกินเณรต่อดีกว่าครับ เนื่องด้วยชาวบ้านในพื้นที่ล้วนเชื่อกันว่าพระพุทธรูปที่มีใบหน้าดุนั้นเป็นพระกินเณรแล้วนี่ อีกประการหนึ่งก็น่าที่จะเกิดมาจากเรื่องเล่าสู่ตกทอดกันมาที่ว่า เณรส่วนใหญ่(ในสมัยก่อน)มักจะมีนิสัยที่ค่อนข้างจะซุกซนมาก( ก็ประมาณนิสัยเด็กๆล่ะครับ)และชอบเข้าไปวิ่งเล่นในอุโบสถ พอชอบเข้าไปวิ่งเล่นกันในพระอุโบสถคราวนี้แหล่ะเณรมักทำสิ่งของในนั้นตกหล่นเสียหาย หลวงพ่อท่านเลยใช้กลวิธีหลอกเอาว่าพระในอุโบสถนั่นเป็น “พระกินเณร” หากเข้าไปวิ่งเล่นอาจจะถูกท่าน(พระกินเณร)จับกินเอาก็ได้ และเนื่องด้วยใบหน้าของพระกินเณรในวัดดังกล่าวมีใบหน้าที่แลดูน่ากลัว ประกอบกับหากสังเกตให้ดีจะแลเห็นว่าที่ริมฝีปากของท่าน(พระกินเณร)จะถูกฉาบทาไปด้วยสีแดงสดคล้ายเลือด พวกเณร(เหล่านั้น)เลยเอาไปเล่าลือกันต่างๆนานาไปว่า พระพุทธรูปในอุโบสถได้จับเณรกินไปเสียแล้ว และเรียกกันว่า “พระกินเณร” เรื่อยมา พระกินเณรจึงน่าที่จะเป็นเพียงความเชื่อที่ว่าด้วยความไม่ต้องการให้ข้าวของในอุโบสถเสียหายจึงเกิดการผูกเรื่องพระกินเณรขึ้นมา และเนื่องด้วยพระพุทธรูปเหล่านั้นเองแลดูมีเค้าโครงของใบหน้าที่ดูน่ากลัว มีสีแดงสดอยู่ที่ริมฝีปากคล้ายกับว่าเพิ่งจับเณรมากินจนเลือดไหลย้อยออกมา ความเชื่อในเรื่องพระกินเณรจึงแลดูขลัง เป็นเรื่องจริง จนในที่สุดกลายมาเป็นเรื่องเล่าจากปากสู่ปาก จากรุ่นสู่รุ่น มีการถ่ายเทตกทอดจากอดีตมาจวบจนปัจจุบัน กลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่ชาวบ้านที่มีความเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวนั้นแลเป็นเรื่องจริง

คุณาพร/กิตติพร

กุมารทอง

นำมาให้อ่าน เปลี่ยนบรรยากาศครับ เรื่องเก่าๆเล่าต่อกันมา อ่านดู ชวนค้นหาดี เปลี่ยนอารมณ์ในเว็ป กระทู้ป่วนครับ

big998

นึกว่าเณร ป๊อก 8 พระป๊อก 9
Page : 1
Webboardแสดงความคิดเห็น
เยี่ยม   แย่   แย่   แย่   เขิน   หยอกล้อ  ตกใจ  ร้องไห้   สงสัย   ขอโทษ   หดหู่   อย่าน่ะ   ต่อว่า   โอเค
รูปภาพ
(นามสกุลไฟล์ควรเป็น [ jpg , jpeg , gif ] และไฟล์ไม่เกิน 3 MB.)
*ชื่อ
*สถานะ  
*อีเมล
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
*รหัสยืนยัน

หมายเหตุ : : กรุณากรอกข้อมูลที่มี * ทุกช่อง

 


 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด

 เสริมดวงออนไลน์ By jack kumanthong

 www.facebook.com/jackkumanthong

 
view