http://www.kumanthongsiam.com
    สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 24/05/2008
ปรับปรุง 10/07/2021
สถิติผู้เข้าชม23,981,794
Page Views33,419,000
Menu
หน้าแรก
รวมรูปภาพ
เว็บบอร์ด
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 

 


เรื่องเล่าจากโกสินทร์ตอนที่ 51 (+++รูปประกอบของเรื่อง,วัวธนู ควายธนู)

(อ่าน 5610/ ตอบ 19)

โกสินทร์











เรื่องเล่าของโกสินทร์ตอนที่ 51 (มีภาพประกอบของเรื่อง และภาพวัว,ควายธนู)


คนระลึกชาติ


     ขอบคุณครับคุณ ART_WIZARD.....ตั้งแต่ผมทราบเรื่องเด็กระลึกชาติได้ที่บ้านบางเดือน ผมก็เฝ้าเพียรพยามหาหนทางติดต่อกับเธอ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 9 ปี ผมถึงได้มีโอกาสไปพบครอบครัวนี้แต่ถึงกระนั้นก็ตามผมก็ไม่สามารถพูดคุยกับเจ้าตัวได้ เพราะวันนั้นเธอไม่อยู่เลยได้พูดคุยกับแม่ของเธอ เพื่อความสะดวกของท้องเรื่องผมขอใช้นามสมมุติเรียกเด็กระลึกชาติว่า “อุ๊” สำหรับแม่ของเด็กระลึกชาติขอเรียกว่า “แม่แอ๊ว” ......


     เหตุเกิดที่บ้านบางเดือน ในปี พ.ศ. 2506 เด็กหญิงคนหนึ่งให้กำเนิดขึ้นมาในโลกมนุษย์ชื่อ ด.ญ.ยุวดี  ก็ดำรงชีวิตแบบเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ธรรมดาจนกระทั่งอายุได้ 8 ปี  เธอก็ไปอาบน้ำที่ลำห้วยใกล้บ้าน พอขึ้นจากน้ำเกิดอาการใจสั่นคล้ายจะเป็นลม เมื่อกลับมาถึงบ้าน นอนพักผ่อนบนแคร่ใต้ถุนบ้าน จนเสียชีวิตในที่สุดขณะนั้นปี พ.ศ. 2514  พอตายแล้วด.ญ.ยุวดีก็ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่บนสวรรค์ช่วงระยะสั้น ๆ  ช่วงระยะเวลาที่ด.ญ.ยุวดีขึ้นสวรรค์เวลาในโลกมนุษย์ก็ผ่านไป 9 ปี  ปี พ.ศ.2523 ด.ญ.ยุวดีก็กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ในท้องของแม่แอ๊วซึ่งเป็นแม่ในชาติที่ 2 ในโลกมนุษย์  ในชาติที่สองนี่ด.ญ.ยุวดีชื่ออุ๊  เมื่ออุ๊อายุได้ 3 ปี ได้พบกับพ่อในชาติที่หนึ่งก็เข้าไปกอดอย่างสนิทสนมและยังรู้จักแม่ในอดีตชาติอีก  จนพ่อแม่ในชาติที่ 1 สงสัยจึงมีการทดสอบหลายอย่าง จนเชื่อแน่ว่าอุ๊ในชาติปัจจุบันคือด.ญ.ยุวดีในอดีตชาติกลับชาติมาเกิดเป็นลูกแม่แอ๊วในชาติปัจจุบัน เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง จำเครื่องใช้ในชาติของด.ญ.ยุวดีได้เช่น ปิ่นโต , กระเป๋านักเรียน ,บ้าน ,หลุมฝังศพของด.ญ.ยุวดีในอดีตชาติได้  ในชาติปัจจุบันอุ๊สามารถนั่งสมาธิไปเยี่ยมท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ บนสวรรค์ได้ บางครั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่บนสวรรค์ก็มาเยี่ยมเธอในโลกมนุษย์ อุ๊ก็บอกให้แม่แอ๊วแม่ในชาติปัจจุบันสร้างบ้านเรือนไทยหลังเล็ก ๆ ตลอดจนจัดทำพิธีต้อนรับที่บ้านของแม่แอ๊ว  อุ๊ยังบอกแม่แอ๊วว่าเมื่อเธออายุได้ 8 ปี เธอจะต้องถึงเวลากลับสวรรค์ ครอบครัวในชาติปัจจุบันก็ห่วงหาอาวรณ์ไม่อยากให้เธอกลับไปสวรรค์  ก็มีการทำพิธีขออนุญาตท่านพ่อท่านแม่ให้เธออยู่ในโลกมนุษย์อีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับการผ่อนผันจนมาถึงปัจจุบัน เรื่องราวของเธอเป็นที่กล่าวขานโจษจันกันทั่วไป ถึงขนาด ด.ร.เอียน สตีเวนสัน อดีตหัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เดินทางมาประเทศไทยเพื่อสัมภาษณ์เธอ สำหรับดร.เอียนนี่จะเดินทางไปทั่วโลกหาข้อมูลเกี่ยวกับคนระลึกชาติทั่วโลก ผมใช้เวลาถึง 9 ปีในการสืบเสาะแสวงหากว่าจะได้พูดคุยกับแม่ของอุ๊ วันที่ผมไปคุยกับแม่แอ๊ว อุ๊ไม่อยู่ หากมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอคงได้รายละเอียดเกี่ยวกับการระลึกชาติได้ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนชีวิตประจำวันของพวกเขา จากนี้ไปจะเล่าเรื่องราวโดยละเอียดในย่อหน้าต่อไป เพื่อความเหมาะสมของท้องเรื่อง ผมจะกล่าวถึงเรื่องย่อพอเป็นสังเขปก่อน ซึ่งกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วค่อยฟังเรื่องราวละเอียดในย่อหน้าต่อไป


     ในปี พ.ศ.2525 อุ๊เริ่มร้องหาพ่อ อายุ 2 ขวบพอพูดได้ แม่แอ๊วอุ้มก็ยังคงร้องอยู่ พ่ออุ๊อุ้มก็ยังร้อง ทั้งที่ปกติอุ๊ติดพ่อในชาติปัจจุบัน พอพ่ออุ้มก็ผลักไม่ยอมให้อุ้ม บอกว่าไม่ใช่พ่อหนู เป็นพ่อพี่เขียว (พี่เขียวนี่เป็นพี่ผู้หญิงพี่สาวของอุ๊) อุ๊ร้องอยู่หลายวันกลางค่ำกลางคืนก็ยังร้องอยู่ พ่อแม่เห็นผิดสังเกตก็พาไปหาหลวงพ่อซ้าย วัดหาดน้อย ต.บางมะเดื่อ เข้าใจว่าถูกผี เพราะพ่อในชาติปัจุบันอุ้มก็ไม่ยอม แถมให้พ่อในชาติปัจจุบันพากลับบ้าน เมื่อถึงวัดหาดน้อย หลวงพ่อซ้ายทำพิธี ไม่น่าเชื่อเด็กอายุ 2 ขวบนั่งนิ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่หลุกหลิกเป็นเวลาถึง 2 ชม.นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อหลวงพ่อซ้ายทำพิธีเสร็จเรียบร้อย อุ๊นอนฟุบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น แม่แอ๊วเข้าอุ้มจากด้านหลัง อุ๊ปัดมือแม่ไม่ยอมให้อุ้ม กลับถึงบ้านอุ๊ก็ยังร้องไห้อยู่ ปากก็พร่ำบ่นจะหาพ่อ (ในอดีตชาติ) พ่อแม่ในชาติปัจจุบันถามว่าจะให้พาไปหาพ่อชื่ออะไร อุ๊ก็ตอบไม่ถูก เพราะตอนนั้นยังเล็กมาก ความจำยังเลือนราง เพิ่งเริ่มปะติดปะต่อ ยังจำชื่อพ่อในอดีตชาติไม่ได้ บังเอิญวันหนึ่งเพื่อนบ้านชื่อ ซี เลี้ยงส่งลูกชายที่เกณฑ์ติดทหาร ก็เลี้ยงส่งกัน (ก่อนหน้านั้นอุ๊ไปเที่ยวกับอาของอุ๊) อุ๊ก็บอกว่าเห็นพ่อในอดีตชาติแล้ว ตลอดจนเห็นบ้านในอดีตชาติด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อซี (พ่อในอดีตชาติ) มาซื้อของบ้านแม่แอ๊ว (แม่ในชาติปัจจุบัน) อุ๊เห็นก็จำได้ ดีใจอย่างล้นเหลือ รีบวิ่งเข้ามากอดพ่อซี แม่แอ๊วก็บอกว่า ไปกอดเค้าทำไม เค้าไม่ใช่พ่อของหนู อุ๊ตอบว่า นี่แหละพ่อของหนู วันต่อมาอุ๊ได้ไปบ้านพ่อซี เห็นภาพถ่ายในอดีต ภาพดังกล่าวเป็นงานบวชอาของยุวดี ในงานมีการเฉลิมฉลอง อุ๊ก็เข้าไปชี้ภาพถ่าย พร้อมกับบอกว่า นี่แหละเป็นตัวของหนู (เด็กหญิงยุวดีในอดีตชาติ) หนูรำในงานบวชด้วย ไปชี้กระเป๋านักเรียน ตลอดจนปิ่นโตอลูมิเนียม ซึ่งเป็นของใช้ของตนเองในอดีตชาติ เท่านั้นยังไม่พออุ๊ยังมาชี้แคร่ที่เด็กหญิงยุวดีนอนตาย พร้อมกับบอกว่า หนูนอนตายตรงนี้ มาถึงตรงนี้พ่อแม่พี่น้องในอดีตชาติต่างร้องไห้ เพราะแน่ใจว่าเด็กคนนี้คือลูกของตนในอดีตชาติแน่นอน หมดข้อสงสัย เด็กก็เล่าต่อไปว่า หนูไปอาบน้ำในหนอง (เด็กยังเรียกไม่ถูก ความจริงมันเป็นห้วยน้ำ) ยังบอกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ผู้ใหญ่ก็ลืมไปแล้วว่า แม่ด่าหนูว่า หนูขี้เกียจเลยให้หนูไปเลี้ยงน้อง หนูก็บอกว่า หนูรู้สึกแปลก ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ก็ล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนเพลีย จนกระทั่งเสียชีวิต ช่วงนี้อุ๊ก็ยังร้องไห้จะกลับไปบ้านพ่อแม่ในอดีตชาติ ต่อมาที่วัดของหลวงพ่อชิดได้จัดงาน ซึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อจ่าง วัดน้ำรอบมาด้วย หลวงพ่อชิดก็บอกกับแม่แอ๊วว่า คืนนี้ให้มาพบกับหลวงพ่อจ่างสิ คืนนั้นหลวงพ่อจ่างก็นั่งสมาธิ ดูรายละเอียดของเด็กคนนี้เป็นชั่วโมง ท่านลืมตาบอกว่า เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา อยู่สูงมาก ท่านไปไม่ถูก หลวงพ่อจ่างบอกว่า ท่านเป็นพระ ต้องใช้บารมีสูงมาก เพื่อไปค้นหาที่มาของเด็กคนนี้ ออกจากสมาธิสักพักก็นั่งใหม่ คราวนี้หลวงพ่อจ่างบอกว่า เด็กคนนี้ตอนตายนุ่งชุดอะไร ท่านบอกได้ถูกหมด ซึ่งได้รับคำยืนยันจากแม่ในอดีตชาติว่าถูกต้อง แม่ในชาติปัจจุบันพาไปหาหลวงพ่อจ่าง เนื่องจากไม่สบายใจ ขอคำยืนยันอีกครั้ง ทั้งที่พ่อแม่ในอดีตชาติเชื่อมั่น 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ระยะนี้เด็กก็ไปขลุกอยู่บ้านพ่อแม่ในอดีตชาติ ทางฝ่ายพ่อแม่ในชาติปัจจุบันก็เกรงใจพ่อแม่ในอดีตชาติ เพราะฐานะในปัจจุบันก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเป็นพิเศษ ...... หลวงพ่อเรียม เจ้าคณะอำเภอวัดตาขุนทราบเรื่องนี้ก็มาบอกว่า ท่านจะทำให้เด็กไม่กลับไปหาพ่อแม่ในอดีตชาติ คงสงสัยสิครับ ทำไมหลวงพ่อเรียมถึงรู้เรื่องนี้ เนื่องจากพ่อในชาติปัจจุบันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเรียมนั่นเอง ก็เข้าใจหัวอกพ่อแม่ มีลูกก็จะไปอยู่กับพ่อแม่ในอดีตชาติ พ่อแม่ในชาติปัจจุบันก็ต้องการให้ลูกอยู่กับตนเองเรื่องมันก็ยุ่งพัลวันเป็นทุกข์ของคนมีลูกระลึกชาติได้ที่เกี่ยวพันกับสองครอบครัว เมื่อหลวงพ่อเรียมทำด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมืออุ๊ อุ๊ก็กลับไปหาพ่อในอดีตชาติอีก พร้อมกับบอกพ่อให้เอาด้ายสายสิญจน์ออก เพราะตัวอุ๊เองมองอะไรไม่เห็น มันมืดไปหมด ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ก็มองไม่เห็น ไม่สามารถขึ้นไปบุคคลทั้ง 3 บนสวรรค์ได้อีกแล้ว พ่อแม่ในชาติปัจจุบันก็ว่าลูกของตนเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว จะไปหาท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ที่ไหนกัน สงสัยผีจะมาแอบแฝงรึเปล่า เรื่องชักจะไปกันใหญ่แล้ว เมื่อกลับมาหาแม่ในชาติปัจจุบัน อุ๊ก็ขอร้องให้เอาด้ายสายสิญจน์ออกอีก บอกว่าหนูมองอะไรไม่เห็นเลย จะมีสี 3 สีรอบตัวหนู หนูไปไหนไม่ได้ (หมายถึงเดินทางไปสวรรค์ไม่ได้) เครื่องทรงของหนูก็ไม่มี แม่แอ๊วก็ถามว่า เครื่องทรงแบบไหน เหมือนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ หรือเปล่า อุ๊ตอบว่าไม่เหมือน เหมือนเป็นบางอย่าง เครื่องทรงของอุ๊ในโลกมนุษย์ไม่มี แม่ในชาติปัจจุบันเป็นทุกข์ยิ่งนัก ทำไมลูกชอบพูดถึงสวรรค์วิมาน (เด็กยังเล็กอยู่ เรียกวิมานว่าบ้าน) กลัวลูกจะเสียสติ เด็กพูดต่อ เครื่องทรงของหนูก็หาย ท่านพี่ก็ไม่มาหา ในที่สุดทนเด็กรบเร้าไม่ไหว ก็จำใจถอดด้ายสายสิญจน์ออกจากข้อมือเด็ก เนื่องจากเด็กพร่ำพูดแต่สวรรค์และบุคคลในสวรรค์มิได้ขาด ต่อมาเด็กก็บอกแม่ให้จัดเครื่องบูชาท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ตอนนี้ด้ายสายสิญจน์ออกจากตัวเด็กแล้วก็มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม นอกจากท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่อีก 4 องค์ พี่เลี้ยงอีก 4 องค์เป็นหญิงล้วน ช่วงนี้เด็กอายุประมาณ 3 ขวบได้บอกแม่แอ๊วทำพิธีรับท่านทั้งหลายที่มาจากสวรรค์ โดยให้จัดดอกไม้สด ห้ามใช้ดอกไม้พลาสติก นอกเหนือจากนั้นก็มีอาหารคาวหวาน ผลไม้ ของที่จัดมี 2 ที่ ของพี่เลี้ยง 1 ที่ ของท่านพี่อีก 1 ที่ บรรดาของที่จัดต้อนรับท่านพี่และพี่เลี้ยงจากสวรรค์ เด็กมาเห็นก็มาจัดใหม่ เหลือเชื่อเด็กอายุ 3 ขวบ ทำไมถึงทำสิ่งเหล่านี้ได้ เด็กบอกว่า ของที่แม่แอ๊วและญาติ ๆ จัดต้อนรับท่านพี่ไม่ถูกต้อง เด็กต้องจัดใหม่ อีกทั้งเชิญหมอมาทำพิธีต้อนรับ หมอคนดังกล่าวก็เป็นหมอที่ทำหน้าที่ตั้งศาลพระภูมิและเป็นพิธีกรจัดงานพิธีเกี่ยวกับพระ ไม่ใช่หมอไสยศาสตร์  นอกเหนือจากนั้นเด็กยังบอกให้แม่แอ๊วจัดสร้างบ้านต้อนรับท่านพี่ (ดังภาพประกอบอยู่ท้ายเรื่อง) พิธีต้อนรับท่านพี่ก็ทำในเวลกลางวัน พิธีนี้ก็ผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไร จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กบอกแม่แอ๊วว่าหนูจะชวนแม่แอ๊วไปเที่ยวบ้าน(วิมาน)หนูบนสวรรค์ แม่จะได้เชื่อสิ่งที่หนูเล่า แม่แอ๊วก็คิดสวรรค์มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้แม่แอ๊วก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้มีเพียงแต่ไปทำบุญที่วัดตามปกติ มิได้ปฎิบัติทางจิตแต่อย่างใด เด็กชวนไปเที่ยววิมานบนสวรรค์หลายครั้ง จนกระทั่งลองนั่งดู แม่แอ๊วก็ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน ได้ยินพระท่านสอนว่าเวลานั่งสมาธิก็ให้ภาวนาพุทโธ ก็นั่งภาวนาอย่างนั้น และแล้วปาฎิหารย์ก็เกิดขึ้นฉับพลันทันใด ขณะที่นั่งสมาธิหลับตาอยู่นั่นล่ะ ก็มีความรู้สึกเหมือนมีผ้าดำมาปิดตา และมีแสงสว่างแพรวพราว แสงสว่างที่ปรากฏไม่ใช่แสงแดด ไม่ใช่แสงไฟ เป็นแสงโดยเฉพาะไม่เคยเห็นมาก่อน เท่านั้นเองแม่แอ๊วตกใจลืมตาวิ่งลงมาชั้นล่างของบ้านทันที พร้อมกับบอกอุ๊ว่าแม่ไม่ไปแล้วบ้าน(วิมาน)ของลูก แม่แอ๊วตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะในชีวิตไม่เคยปรากฏสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลย หลังจากนั้นมีพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ (พระมหาวีระ ถาวโร) ที่พวกเรารู้จักกันในนามหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี มาที่บ้านแม่แอ๊วมาคุยกับอุ๊ ถามว่าบ้านหนูอยู่ที่ไหน เด็กตอบว่าอยู่บนสวรรค์ พระถามต่อบ้านหนูลักษณะเป็นแบบนี้หรือ (ชี้ไปที่พื้นบ้านซึ่งเป็นซีเมนต์) เด็กบอกว่าไม่ใช่บ้านของหนูเป็นแก้วสีชมพู ถึงตอนนี้แม่แอ๊วคิดว่าเอาอีกแล้วลูกเราเป็นประสาทอีกแล้วไปกันใหญ่แล้ว พระถามต่อแล้วเสื้อผ้าใส่กันอย่างไร เด็กพูดไม่ถูกก็ทำมือแสดงลักษณะการสวมใส่ แม่แอ๊วเห็นก็รู้ทันทีว่าการนุ่งผ้าแบบนี้คือนุ่งแบบจีบหน้านาง(จีบหน้านางเป็นลักษณะการนุ่งผ้าใช้กับผ้านุ่งสมัยก่อนเช่นชุดไทยจักรี , ไทยบรมพิมาน,ไทยเรือนต้น  เด็กบอกพระว่าหนูชวนแม่ไปเที่ยวบ้าน(วิมาน) แม่ไม่ไป ก็แม่แอ๊วตกใจวิ่งลงมาก่อนหน้านี้ ตามธรรมดาหากคนธรรมดามาพูดคุยเรื่องนี้กับเด็ก เด็กจะไม่คุยด้วย แต่กับพระลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำคุยได้เป็นเวลานาน บางคนมาถามถึงเรื่องระลึกชาติ เด็กจะไม่พูดคุยด้วย แต่บางคนเด็กจะพูดเรื่องบุญบาป การทำบุญเสียยืดยาวเหมือนคนที่รู้ธรรมะ อธิบายธรรมได้ดีทีเดียว ท่านชัยวัฒน์ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำเมื่อสนทนาเสร็จ พระชัยวัฒน์ก็กลับวัด พ่อแม่เด็กก็ถามว่าท่านมาจากไหน ท่านชัยวัฒน์ก็เขียนในกระดาษว่ามาจากวัดท่าซุง อุทัยธานี เท่าที่คุยกันทราบว่าเด็กอยู่บนสวรรค์ชั้น 3 (ชั้นยามา) ท่านชัยวัฒน์ถามว่าบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ เขาแบ่งกันอย่างไร ท่านทำมือประกอบว่าเป็นชั้น ๆ เรียงขึ้นไปใช่หรือไม่ เด็กตอบว่าไม่ใช่ เสมอเป็นชั้นเดียวกัน แต่แบ่งกันเป็นเขต ๆ ถึงตอนนี้แม่แอ๊วยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็เดินทางไปวัดท่าซุง(ขณะนั้นหลวงพ่อฤาษีลิงดำยังมีชีวิตอยู่) หลวงพ่อฤาษีลิงดำถามว่าจะฝึกแบบไหนก็แล้วแต่เลือก แต่หากเลือกฝึกมโนยิทธิเป็นอภิญญาเล็ก ๆ แม่แอ๊วก็ตอบว่าเอาที่พิสูจน์ได้นั่นแหละ หลวงพ่อบอกว่ามโนยิทธิเป็นฌานโลกีย์ ถ้ามีมโนภาพเกิดขึ้นเรียกว่าเป็นฌานโลกีย์ไม่ได้บุญ แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ตัวนี้จะได้บุญ แต่การฝึกมโนยิทธิ เป็นการยืนยันว่าสวรรค์ นรก มีจริง มีได้เสื่อมได้ ให้ปฎิบัติเอาจริง คล้าย ๆ กับเรายืนอยู่ 3 ขา พอมีมโนยิทธิ เราสามารถยืนได้อย่างมั่นคง พระที่มาฝึกในวันนั้นมี 3 รูป จำได้รูปเดียวคืออาจารย์โอ๋ ฝึกวันแรกไม่ได้ผล วันที่สองไม่ได้ผลเพราะไม่รู้จักตัดกิเลส พระสอนทุกวันให้ตัดกิเลส ให้ตัดขันธ์ 5 ให้ตัดให้พิจารณาขันธ์ 5 แม่แอ๊วก็พยายามปฎิบัติตามพระสอนทุกวันเพื่อพิสูจน์เรื่องราวของลูกว่าเป็นความจริงหรือเพ้อเจ้อ ก็ปฎิบัติอย่างนั้นจนกระทั่งวันหนึ่งหลวงพ่อบอกให้นั่งกันหลาย ๆ คน วันนั้นก็นั่งกันประมาณ 7 คน อาจารย์นั่งกลางให้ทำจิตตามที่ท่านสอน ให้ไปโน่นไปนี่ และแล้วก็ประสบผลสำเร็จ แม่แอ๊วได้เดินทางไปวิมานของลูก เห็นเจ้าตัวอยู่บนสวรรค์แต่เป็นอีกภาคหนึ่ง  ภาคสวรรค์ของลูกไม่พูดเลย ปากไม่เผยอ เสียงได้ยินทางจิต หน้าก็ไม่ใช่ลูกในปัจจุบัน แต่จิตรู้ได้ว่านี่คือลูกของตัวเอง ใส่เครื่องทรงพร้อม อุ้มตุ๊กตาข้างละตัว ถึงตอนนี้แม่แอ๊วคิดถึงตอนเด็กบอกว่าให้หาตุ๊กตา หน้าของตุ๊กตาหน้าเหมือนตุ๊กตาจีน  ลูกบอกว่าที่เค้ามาเกิดในเมืองมนุษย์ เค้าแค่ลงมาเที่ยวในเมืองมนุษย์เวลานิดเดียวเอง ยังไม่ถึง 1 วันสวรรค์เลย แม่แอ๊วเพิ่งมาได้ความรู้จากวัดท่าซุงว่า 1 วันสวรรค์เท่ากับ 100 ปีในเมืองมนุษย์ และยังรู้อีกว่าลูกจะต้องกลับสวรรค์เมื่ออายุ 8 ปี ฝ่ายแม่แอ๊วไม่สบายใจไม่อยากให้ลูกกลับสวรรค์ จึงได้ปรึกษาหลวงพ่อว่าจะมีวิธีการไหนบ้างที่ให้ลูกอยู่ในเมืองมนุษย์ได้อีก หลวงพ่อไม่บอก บอกว่าให้หาวิธีทำเอาเอง แต่ก็แนะนำว่าให้ไปถามพระอาจารย์ฝึก ก็ได้รับคำตอบว่าให้ไปหาท่านพ่อ ท่านแม่ ของเด็กระลึกชาติ หลังจากได้รับคำแนะนำก็นั่งสมาธิกันใหม่วันนั้น นั่งล้อมวงหลายคน ก็ได้ขึ้นไปพบองค์สมเด็จ วันนั้นครูฝึกดุจังเอามือจิ้มเร่งให้พวกนั่งสมาธิล้อมวงกันตอบว่า องค์สมเด็จให้ทำแบบไหน เด็กระลึกชาติทำอย่างไร ถึงจะอยู่ในเมืองมนุษย์ได้อีก ภาพที่เห็นองค์สมเด็จเป็นแก้ว  องค์สมเด็จแนะนำให้ปล่อยปลา บวชพระ 2 รูป  บวชเณร 1 รูป ถวายสังฆทาน และสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ คำตอบที่ได้มาจากบุคคลที่นั่งสมาธิล้อมวงกัน ซึ่งต่างก็ไม่รู้จักกัน มาจากคนละจังหวัดกัน  แต่ได้รู้คำตอบตรงกัน ฝ่ายแม่แอ๊วได้ยินคำแนะนำช่วงหลัง ๆ องค์สมเด็จที่เห็นเป็นปางปรินิพพาน องค์ท่านสูงมากปากไม่เผยอ แต่เสียงที่ได้ยินได้ยินทางจิต องค์เป็นแก้วตลอดจนเครื่องทรงก็เป็นแก้ว แต่หน้าเห็นไม่ชัดเจน แสงเป็นประกายเย็นตา ไม่แสบตา พอถึงตอนนี้ตัวสงสัยในจิตของแม่แอ๊วมันก็ออกมาทำงาน จิตคิดจริงรึนี่ที่เราเห็นเป็นความจริงหรือเปล่า ท่านโอ๋พระครูฝึกรู้วาระจิตก็พูดว่า สิ่งที่โยมเห็นเป็นความจริง อย่าได้สงสัย แม่แอ๊วก็ตกใจเอ๊ะท่านโอ๋รู้ความคิดของเราได้อย่างไร เมื่อออกจากสมาธิหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ถามว่าองค์สมเด็จแนะนำอย่างไร ก็บอกท่านไป หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็บอกว่า พรุ่งนี้นั่งสมาธิไปขอใหม่ ขอต่อเวลาอีก อนุญาตให้เพียง 38 ปี พิธีดังกล่าวจะทำตอนอายุ 8, 18 ปี  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่เจ้าตัวว่าอยากจะอยู่ในโลกมนุษย์อีกนานเท่าไร  ซึ่งขณะนี้อุ๊ก็อายุได้ 31 ปีแล้ว  แม้นกระทั่งทุกวันนี้แม่แอ๊วต้องคอยรับโทรศัพท์จากผู้คนทั้งประเทศโทร.มาสอบถามเรื่องนี้ พอแม่แอ๊วถามว่าทราบเรื่องนี้มาจากไหน ก็ได้รับคำตอบว่าเค้าอ่านจากหนังสือในหอสมุดแห่งชาติบ้าง ห้องสมุดประจำจังหวัดบ้าง เดือนที่แล้วลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัวก็โทร.มาสอบถาม เค้าอ่านพบในหนังสือที่อยู่ในวัดหลวงตามหาบัว แม่แอ๊วยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าหลังจากขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็ไปพบวิมานเป็นแก้วพื้นสะอาดมากจนแม่แอ๊วไม่กล้าเดินด้วยเท้าต้องใช้วิธีคลานเข่าโดยใช้ศอกยันพื้นช่วยประคองในการคลานเข่า เห็นเสาบนสวรรค์เป็นลายกนกซึ่งในเมืองมนุษย์ลายกนกจะม้วนขึ้นบนแต่ในสวรรค์ม้วนลง พระแท่นศิลาอาสน์ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งเทศนาแม่แอ๊วก็ได้ไปเห็นมาแล้ว......ในปัจจุบันเมื่อแอ๊วดูข่าวทางโทรทัศน์หรืออ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็จะออกความเห็นต่าง ๆ นานา  อุ๊ได้ยินก็จะเตือนสติว่าแม่อย่าไปสนใจเค้า มันเป็นกรรมของเค้า กรรมใครกรรมมัน แม่ปฎิบัติธรรมอยู่ แม่อย่าไปบ่นไปว่าเค้า บางครั้งเมื่อแม่แอ๊วเสร็จจากการนั่งสมาธิก็จะแผ่เมตตาให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็มีอยู่วันหนึ่งหลังนั่งสมาธิลืมแผ่เมตตาก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวเล็กแหลม เสียงบีบหัวใจ เสียงที่ได้ยินสูงมาก แม่แอ๊วก็ถามสามีว่าได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า สามีบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไร (แม่แอ๊วผ่านการฝึกจิตที่วัดท่าซุงมาแล้ว) ก็สามารถสัมผัสกับเสียงที่ได้ยินปรากฏว่าเป็นเสียงของเปรตร้องขอส่วนบุญ แม่แอ๊วก็ถามว่าทำไมท่านยังมาขอส่วนบุญข้าพเจ้าแผ่ส่วนบุญให้ทุกคืนอยู่แล้ว เปรตตอบว่าก็ที่แผ่เมตตาแม่แอ๊วบอกว่าให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรตไม่ใช่สัตว์จึงไม่ได้รับผลบุญเหล่านั้น แม่แอ๊วถามต่อทำไมท่านถึงเกิดเป็นเปรตทำกรรมอะไรไว้ เปรตตอบว่าสมัยเป็นมนุษย์ได้คิดทรยศต่อชาติบ้านเมืองด่าว่าในหลวงและพระราชินี ผลกรรมอันนั้นทำให้ได้มาเกิดเป็นเปรต รูปร่างเปรตที่แม่แอ๊วเห็นร่างคล้ายคนแต่ไม่เหมือนคนร่างผอม ๆ สูงมากปากเล็กนิดเดียว สถานที่แม่แอ๊วเห็นเปรตคือบริเวณกิโลเมตรที่ 61 แถวเขาลาไม  แม่แอ๊วมีสัมผัสพิเศษตั้งแต่เด็กและพี่น้องของแอ๊วก็มีสัมผัสพิเศษกันทุกคนทั้งครอบครัว อย่างตอนที่ตาของแม่แอ๊วตาย แม่แอ๊วเห็นคนมารับดวงวิญญาณของตาด้วย  ในช่วงแม่แอ๊วเป็นเด็กพอเวลาช่วงบ่ายโมงหลังฝนตก อากาศจะครึ้มฟ้าครึ้มฝน แม่แอ๊วมักจะเห็นวิมานสีทองบนสวรรค์ ณ.สถานที่แห่งหนึ่งเสมอ ๆ ผมก็ลืมถามไปว่าสถานที่นั้นอยู่ณ.บริเวณใด สถานที่ดังกล่าวบางครั้งได้ยินเสียงสวดมนต์บ้าง ได้ยินเสียงบรรเลงปี่พาทย์มโหรี ได้ยินเสียงเพลงฉ่อยบ้าง และเวลาแม่แอ๊วไปงานศพของใคร จะมีเสียงบอกแต่ไม่เห็นตัวว่าคนที่ตายนั้นได้ไปสวรรค์หรือนรก โดยที่แม่แอ๊วไม่อยากจะรู้แต่มีเสียงบอกมาเอง แต่หากจิตอยากจะรู้ว่าคนที่ตายไปไหนกลับไม่รู้ คือต้องมีเสียงบอกมาเอง แม่แอ๊วกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องท่านชัยวัฒน์วัดท่าซุงว่าเดิมท่านเป็นคนไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน ก่อนบวชได้เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยจุฬาและได้มาบวชเป็นพระ


     สาเหตุที่โลกภายนอกได้ทราบเรื่องราวของการระลึกชาตินั้น เริ่มจากพอเรื่องนี้ทราบถึงนักข่าว  นักข่าวก็มาขอสัมภาษณ์ แต่แม่แอ๊วไม่อนุญาต นักข่าวก็วนเวียนอยู่หลายวันบังเอิญนักข่าวรู้จักกับพ่อในอดีตชาติ นักข่าวจึงพาพ่อในอดีตชาติมาขอสัมภาษณ์ แม่แอ๊วก็ยังไม่อนุญาตอีก นักข่าวจึงกลับไปเขียนข่าวว่าเด็กระลึกชาติขาดความอบอุ่นจึงกลับไปหาพ่อในอดีตชาติ พ่อแม่ในชาติปัจจุบันก็โมโหเด็กจะขาดความอบอุ่นได้อย่างไร เพราะฐานะความเป็นอยู่ของพ่อแม่ในชาติปัจจุบันดีกว่าพ่อแม่ในอดีตชาติ  จนกระทั่งดร.เอียน และพระลูกศิษย์จากหลวงพ่อลิงดำมาสัมภาษณ์นั่นล่ะเรื่องถึงออกสู่โลกภายนอก


     เรื่องราวที่ผมนำมาเล่านี้อาจจะกลับมากลับไปไม่ราบเรียบเนื่องจากผมถอดจากเทป ไม่ได้เรียบเรียงใหม่กลัวจะเสียความสำคัญของเนื้อเรื่องไป เรา ๆ ท่าน ๆ ก็ขอให้ทำความดีกันไว้นะครับ สิ่งเหล่านี้มีจริง โลกนี้โลกหน้า เราเองก็เกิดมาหลายชาติแล้ว เพียงแต่ระลึกชาติไม่ได้เหมือนอุ๊  หากระลึกชาติกันได้ทุกคนโลกนี้คงวุ่นวายกันน่าดู  ก็ถือศีลปฎิบัติธรรมกันทุกคน ตัวเราเองก็เจริญ สังคมก็เจริญ โลกนี้ก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่โลกที่วุ่นวายเพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ปฎิบัติตนตามที่ศาสนาเค้าสอนเอาไว้  แต่นั่นล่ะเมื่อทุกคนตายไปเขาเหล่านั้นต่างต้องไปรับผลกรรมที่ตนทำไว้สมัยยังมีชีวิตอยู่ หากทำกรรมชั่วไว้ก็สายไปเสียแล้วที่จะกลับมาแก้ตัว เพราะไม่มีกายหยาบให้ทำความดีได้อีกแล้ว  ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุขสวัสดีทุกท่านเทอญ ครั้งต่อไปค่อยมาอ่านกันใหม่ หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะไปขอคุยกับแม่แอ๊วใหม่ ท่านมีเรื่องแปลก ๆเยอะเนื่องจากท่านมีสัมผัสพิเศษตั้งแต่เด็กนั่นเอง............


 


โกสินทร์


วัวธนูโลหะรุ่นแรกครูบาเดช สำนักสงฆ์ป่าช้าวัดใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง ได้รับเมื่่อ 20 กค.54 . . . จิ่วซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของวัวธนูโลหะรุ่นแรกครูบาเดช

โกสินทร์


วิธีบูชาวัวธนูโลหะรุ่นแรกครูบาเดช

โกสินทร์


ปู่ชีวกโกมารภัจจ์ นายแพทย์สมหมายเป็นผู้สร้าง ผมนำมาบูชา เพื่อให้โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่บรรเทาลง ได้รับเมื่อ 16 ก.ค.54 . . . ซื่อซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


ปู่ชีวกโกมารภัจจ์พร้อมกล่องบรรจุ

โกสินทร์


พระขุนแผนผงพรายกุมาร พระทางเหนืือหลายรูปร่วมกันปลุกเสก ได้รับเมื่อ 3 กย.53 . . . อู่ซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


วัวธนูสาน พระอาจารย์พรสิทธิ์ วัดสว่างอารมณ์ จ.เชียงใหม่ ได้รับเมื่อ 21 กค.54 . . . จิ่วจิ่วจิ่ว

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของวัวธนูสานทั้งตัวผู้และตัวเมียของพระอาจารย์พรสิทธิ์ ครั้งหน้าผมจะนำมาลงใหม่นะครับ เพราะวัวธนูสีกลืนกับภาพพื้นหลัง

โกสินทร์


วัวธนูปั้นมือ พระอาจารย์พรสิทธิ์ วัดสว่างอารมณ์ จ.เชียงใหม่ ได้รับเมื่อ 21 กค.54 . . . ซื่อจิ่วจิ่ว

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของวัวธนูปั้นมือ พระอาจารย์พรสิทธิ์

โกสินทร์


ควายธนูหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช สีดำเผ้าทรัพย์สิน ได้รับเมื่อ 28 กค.54 . . . อู่ซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของควายธนูหลวงปู่จันทร์

โกสินทร์


ควายธนูหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช สีทองช่วยด้านค้าขาย เรียกโชคลาภ ได้รับเมื่อ 28 กค.54 . . . อู่ซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของควายธนูหลวงปู่จันทร์ สีทอง

โกสินทร์


ด้านบนของควายธนูสีดำและสีทอง ต่างกัน คือ สีดำที่ใช้เฝ้าทรัพย์สินมียันต์อยู่บนหลัง ส่วนสีทองไม่มี . . . ควายธนูสีทอง ใช้ค้าขาย นำโชคลาภเข้าสู่บ้านเรือน สีดำเป็นควายป้องกันภัยและทรัพย์สินในบ้าน มีคาถาผู้เป็นเจ้าของ ภาวนาเพื่อป้องกัน ไม่ให้ผู้มีวิชาเรียกควายของเราไปใช้งาน รุ่นนี้สร้างในปี พ.ศ.2549 โยมทางภาคเหนือนำไปเลี้ยง เพื่อนบ้านเห็นเป็นควายเดิน และเล็มหญ้าอยู่ ก็ถามว่า ที่บ้านเลี้ยงควายหรือ ต่อมาพ่อของโยมคนนี้ไม่สบายอย่างหนัก ทุกคนมีความเห็นว่าคงอยู่ได้ไม่นาน โยมคนนี้หมดที่พึ่ง เห็นอิทธิฤทธิ์ของควายธนูมาก่อน ก็เลยขอความช่วยเหลือจากควายธนูเป็นที่พึ่งสุดท้าย ตกกลางคืน ฝันเห็นควายขวิดน้ำเลือดน้ำหนอง โรคภัยไข้เจ็บต่้างๆออกไปจากตัวพ่อ ปรากฏว่าพ่อหายเป็นปกติ โยมมีความศรัทธาต่อควายธนูมาก ก็เลยหล่อควายธนูชนิดโลหะ ยังเป็นช่อ ๆ อยู่เลย นำมาที่วัดเพื่อตัดออกจากช่อ เพื่อให้ทางวัดปลุกเสกต่อไป อีกทั้งมาทำบุญที่วัดเพิ่มเติม แน่นอน เรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับควายธนูรุ่นกันภัยเนื้อผง ก็นำมาเล่าท่านเจ้าอาวาส จนกระทั่งผมได้รับรู้เรื่องราวดังกล่าว ควายธนูผงรุ่นกันภัยรุ่นนี้ (สีทองและสีดำ) โยมทางภาคเหนือบูชากันมาก เนื่องจากเห็นประสบการณ์ โยมทางมาเลเซียก็บูชากันมากมาย บางรายมาด้วยตนเองไม่ไ่ด้ ก็ให้ทางวัดจัดส่งทางไปรษณีย์ โยมอีกคนอยู่อ.ระโนด เลี้ยงควายธนูไว้เฝ้าบ้าน ขโมยจะเข้าขโมยของในบ้าน (บ้านหลังนี้มี 5 ประตู) ขโมยไปประตูไหน ควายธนูไปขวางไว้ทุกประตู จนขโมยถอดใจ ไม่เข้าไปขโมยของในบ้านหลังนี้ ควายธนูรุ่นนี้ ทางวัดได้ทำลายบล็อคเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็มีไม่มาก เพราะสร้างมาตั้้งแต่ปี พ.ศ.2549 นับเป็นควายธนูรุ่นแรกของวัดทุ่งเืฟื้อที่ทำด้วยโลหะ ของเดิม   ทางวัดจะทำเป็นเนื้อผงเนื้อว่านทั้งนั้น . . . น่าสนใจครับ ควายธนูรุ่นกันภัย (สีทองและสีดำ) นี้ ควายธนูโลหะที่โยมทางเหนือสร้าง จะเห็นในภาพถัดไปครับ

โกสินทร์


ควายธนูโลหะที่โยมทางเหนือสร้างถวายวัด ได้รับเมื่อ 28 กค.54 . . . อู่ซีโร่ซีโร่

โกสินทร์


อีกด้านหนึ่งของควายธนูโลหะที่โยมทางเหนือสร้างถวายวัด

โกสินทร์


บ้านไทยหลังเล็กที่อุ๊ให้แม่แอ๊วสร้าง เพื่อต้อนรับท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่จากสวรรค์
Page : 1
Webboardแสดงความคิดเห็น
เยี่ยม   แย่   แย่   แย่   เขิน   หยอกล้อ  ตกใจ  ร้องไห้   สงสัย   ขอโทษ   หดหู่   อย่าน่ะ   ต่อว่า   โอเค
รูปภาพ
(นามสกุลไฟล์ควรเป็น [ jpg , jpeg , gif ] และไฟล์ไม่เกิน 3 MB.)
*ชื่อ
*สถานะ  
*อีเมล
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
*รหัสยืนยัน

หมายเหตุ : : กรุณากรอกข้อมูลที่มี * ทุกช่อง

 


 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด

 เสริมดวงออนไลน์ By jack kumanthong

 www.facebook.com/jackkumanthong

 
view