http://www.kumanthongsiam.com
    สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 24/05/2008
ปรับปรุง 10/07/2021
สถิติผู้เข้าชม24,185,636
Page Views33,627,790
Menu
หน้าแรก
รวมรูปภาพ
เว็บบอร์ด
« November 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930

 


เรื่องราวของกุมารทองรุ่นพิพิธภัณฑ์

(อ่าน 8676/ ตอบ 109)

sanoru

ผมค้นข้อมูลพิพิธภัณธ์เก่าๆอ่านอยู่ ซึ่งเขียนโดยพี่พงศ์ เลยหยิบยกมาให้ทุกท่านอ่านด้วยเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ครับ

เนื้อหาทั้งหมด Coppy มาโดยตรง ไม่ได้ดัดแปลงคำพูดพี่พงศ์แต่อย่างใดครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กุมารพิพิธภัณฑ์พิมพ์ใหญ่ กำหนดสร้าง500 มีการสร้างครั้งแรกปลายปี พ.ศ 2546 จำนวน 81 องค์ โดยใฃ้มวลสารเก่าที่ใช้อุดก้นกุมารโดยใช้บล็อคปุนปลาสเตอร์ที่สั้งทำจำนวน2บล็อคและก็เกิดการเสียหาย จึงทำบล็อคขึ้นใหม่เป็นบล็อคปูนฃิเมนต์จำนวน 1 บล็อค โดยกระผมเป็นคนทำเอง


มวลสารก็หมดจึงหยุดพัก ระหว่างที่หยุดพักกระผมได้นำมวลสารที่เจาะใต้ฐานของกุมาร 81 องค์แรกมาสร้างโดยบล็อคปูนฃิเมนต์ ได้จำนวน 25 องค์ จนเข้าปีพ.ศ 2547 จึงทำการหามวลสารใหม่และมีการสั้งทำบล็อค3ใหม่จำนวน 10 บล็อค (พิมพ์แบบเดียวกัน)แต่ได้ใช้บล็อคฃิเมนต์กดด้วยจนครบตามกำหนด และมีการใช้บล็อค1.2.3กดกุมารย.ยจำนวน 51 องค์


กุมารพิมพ์เล็ก ได้ใช้มวลสารจากเจาะฐานกุมารพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดมาสร้างเป็นพิมพ์เล็กโดยกระผม พระเน เด็กวัดชื่อหมาเป็นผ้สร้าง ได้จำนวน 515 องค์ (เนื้อดินเผาแบบพิมพ์ใหญ่) และเนื้อผงฐานพระประธานโบสถ์หลังเก่าผสมกระเบื่องหลังคาโบสถ์ฃึ่งมีการเปลี่ยนใหม่ในตอนนั้นและผงกระดูก7วัดส่วนมวลสารที่เป็นดินบรรจุไว้ภายในพร้อมดะปูโลงผี เนื่องจากในกดพิมพ์ต้องใช้เทคนิคพิเศษจึงสร้างได้จำนวนน้อยมีเพียง 29 องค์ และได้นำมวลสารที่เป็นกระดูก7วัดมาสร้างกุมารเนื่อผง


พรายบรรจุมวลสารดินตามสูตรไว้ภายในเช่นเดียวกลับเนื้อผงโบสถ์ ฃึ่งเป็นต้นกำเนิดของกุมารเนื้อผงพรายพิมพ์ห้อยคอ จำนวนสร้างกุมารเนื้อผงพรายแบบบูชา 4 องค์ อย่ที่กระผม1องค์ ที่พี่ประกอบ 1องค์ ที่พระเน 1องค์ ที่วัดสามง่าม 1องค์กุมารเนื้อผงพรายของพระเน(สึกแล้ว)เปลี่ยนมือไปอย่กลับ คุณวรเดช


อาจเป็นเพราะมวลสารดีถูกต้องดามดำราของหลวงปู่เต๋ พิธีปลุกเสกดี และทำลักษณะคล้ายกลับกุมารรุ่น 1.2 ของหลวงปู่เต๋ ที่สำคัญคือเจตนาของผู้สร้างและบารมีของหลวงปู่เต๋.แย้มด้วยเช่นกัน จึงทำให้กุมารรุ่นพิพิธภัณฑ์เป็นที่นิยม


By : พงศ์

เล็ก ตุ๊กตา

อึ๋ย..โพสแล้วรูปไม่ขึ้น งั้นไว้ก่อนแล้วกันนะคับท่าน

sanoru

คนเห็นแล้วต้องถามความแตกต่างแน่นนอนครับ เพราะขนาดจะไม่เท่ากัน คือการทำเนื้อผงโบถส์มีความแข็งของเนื้อเวลากดพิมพ์ทำให้กดไม่สนิดและต้องทำอย่างเร็ว เพราะส่วนผสมจะแข็งตัวไว ประกอบกับการหดตัวมีเพียงเล็กน้อย


ผิดกับเนื้อดินจะมีการหดตัวมากทำให้ขนาดจะแตกต่างกันมาก กุมารเนื้อผงโบถส์จะมีความแข็งมาก(ตกไม่แตก)เป็นรู่นที่ผมเรียกว่า ไม่กลัวแมวครับ ส่วนเนื้อผงพราย ขนาดจะไม่เท่ากันทั้ง4องค์ครับ เพราะบางองค์ส่วนผสมเปียกมากทำให้กดได้สนิด ต้องทำวันละองค์เท่านั้น แล้วต้องปล่อยให้แห้งคาพิมพ์เนื้อนี้ตอนทำยากมากครับ ดูหน้าตาทั้ง3องค์ ว่ามีความคล้ายกันไหมครับ จะมีก็เป็นเรื่องแปลกกุมารเนื้อผงพรายหน้าตาจะไม่เหมือนกันทั้ง4องค์ แต่พิจารณาให้ดีจะมีเค้าโครงเดียวกัน เพราะมาจากบล็อคเดียวกันครับ


by: พงศ์

sanoru


ต่อไปพิมพ์ใหญ่ ย เดียว คัรบ

sanoru


รูปของคุณ "กุมาร"

sanoru


รูปของคุณ "กุมาร"

sanoru


ข้อมูลจากคุณ โจ้บางจาก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รุ่นพิพิภัณฑ์ (พิมพ์ใหญ่) นี้ลักษณะของใต้ฐานจะมีดังนี้


1.ใต้ฐานตัน(ไม่มีการเจาะ) คือเป็นรุ่นแรกๆเลยครับ แต่พิมพ์นี้มีปัญหาในการสร้าง เนื่องจากว่าสร้างมีจํานวนพอสมควรพอนําไปเผาดินแล้วเกิดการระเบิดของตัวองค์กุมารทองครับ (อาจจะเกิดจากการอัดของความชื้นที่มีอยู่ในดิน) แต่มีองค์สมบูรณ์องค์มาเพียงไม่กี่องค์เองครับ แต่จะอยู่ที่ระดับเซียนเกือบทั้งหมด(ผมคนหนึ่งที่กําลังหาอยู่ขณะนี้ น่าสนใจมาก)


2.ใต้ฐานเจาะเป็นวงกลม


3.ใต้ฐานเจาะเป็นรูปปิรมิด (อย่างที่เห็นได้เกือบทั่วๆไปทั้งแท้และเก๋)


ส่วนรุ่น พิพธภัณฑ์ (พิมพ์เล็ก) จะมีลักษณะพิมพ์ที่ออกมามีอยู่ 3 แบบคือ


1.พิมพ์ อุตร้าแมน (ที่เราสามารถเห็นได้ส่วนใหญ่)


2.พิมพ์ไอ้ค่อม (ชื่อนี้เป็นชื่อที่ทางผู้ร่วมสร้างเรียกกันครับ)


3.พิมพ์.....(ขออภัยครับจําไม่ได้จริงๆถ้าใครรู้ช่วยลงด้วยครับ)


ลักษณะการสังเกตุแบบง่ายๆพื้นๆก่อนก็คือ ให้สังเกตุที่ตัว "ย"


1.ตัว "ย" ไม่มีหัว (ต้องคมชัด)


2.ตัว "ย" มีหัว (ต้องคมชัด)


sanoru

แก้ไข จากข้อมูลของคุณโจ้บางจากนิดหน่อย ครับ พิพิธ พิมพ์เล็ก มีพิมพ์เดียว แต่ที่หลังค่อม เนื่องจากดินคนละเนื้อทำให้เกิดการหดตัวของพิมพ์ครับ ที่หลังค่อมจะเป็นเนื้อดินครับ

sanoru


ข้อมูลจากคุณโจ้บางจาก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รุ่นพิพิภัณฑ์ (พิมพ์ใหญ่) นี้ลักษณะของใต้ฐานจะมีดังนี้


1.ใต้ฐานตัน(ไม่มีการเจาะ) คือเป็นรุ่นแรกๆเลยครับ แต่พิมพ์นี้มีปัญหาในการสร้าง เนื่องจากว่าสร้างมีจํานวนพอสมควรพอนําไปเผาดินแล้วเกิดการระเบิดของตัวองค์กุมารทองครับ (อาจจะเกิดจากการอัดของความชื้นที่มีอยู่ในดิน) แต่มีองค์สมบูรณ์องค์มาเพียงไม่กี่องค์เองครับ แต่จะอยู่ที่ระดับเซียนเกือบทั้งหมด(ผมคนหนึ่งที่กําลังหาอยู่ขณะนี้ น่าสนใจมาก)


2.ใต้ฐานเจาะเป็นวงกลม


3.ใต้ฐานเจาะเป็นรูปปิรมิด (อย่างที่เห็นได้เกือบทั่วๆไปทั้งแท้และเก๋)


ส่วนรุ่น พิพธภัณฑ์ (พิมพ์เล็ก) จะมีลักษณะพิมพ์ที่ออกมามีอยู่ แบบเดียว




ลักษณะการสังเกตุแบบง่ายๆพื้นๆก่อนก็คือ ให้สังเกตุที่ตัว "ย"


1.ตัว "ย" ไม่มีหัว (ต้องคมชัด)


2.ตัว "ย" มีหัว (ต้องคมชัด)




sanoru


เอามาให้ดูหลายๆองค์ครับ พิมพ์ใหญ่

sanoru

sanoru

sanoru


สององค์ต่อไปของคุณซี season777 ครับ

sanoru

sanoru

คำพูดคุณ season777
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
องค์นี้ .. เป็นรุ่นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน แต่หน้าตาไม่เหมือนองค์อื่นๆ .. ด้วยเหตุผลอยู่ที่การลงสีลงหน้าตามของผู้สร้างมากกว่าครับ ดังนั้นพี่ๆน้องๆท่านใดที่มีกุมารทองรุ่นนี้อยู่.. ช่วยนำมาลงกันมากๆครับ เพราะถ้าดูหลายๆองค์ ผ่านตากันเยอะๆ จะจับจุดในการดูได้ว่าองค์ไหนแท้หรือเก๊อย่างไรครับ.....

......................................................................................

ประวัติสำหรับองค์นี้ค่อนข้างเฮี้ยนนิดครับ เพราะไปทำให้เจ้าของเก่านั้นต้องรีบมาคืนทันที ...

เนื่องด้วยเจ้าของเก่านั้น เมื่อได้กุมารทองนี้ไป ด้วยความที่อยากให้ดูพิเศษสำหรับตัวเค้า ที่ได้ไปขอดินกุมารทองจากที่วัดสามง่าม เพื่อไปอุดใต้ฐานให้เต็ม และ ฝังปลาตะเพียนทอง-เงิน ของหลวงพ่อเต๋ท่านติดลงไปที่ใต้ฐาน

ผลปรากฎว่า..............

เจ้าของเก่าได้นำมาคืนที่วัดหลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ด้วยอาการที่เหมือนคนไม่หลับไม่นอน ตาลอย ดูไม่ค่อยมีสติ .. ซึ่งจากการสอบถามคร่าวๆ ได้ทราบว่า เจ้าของเก่านั้นถ่ายไม่ได้มาเป็นอาทิตย์ ซึ่งเป็นอาการที่หาสาเหตุไม่ได้ .. และเจ้าของเก่าก็เลยนึกได้ว่าไปทำกับกุมารทองแบบนี้ ก็เลยกังวลกลัว สุดท้ายก็นำมาคืนวัดครับ ...

หลังจากนั้นผมก็ขอเช่าต่อจากหลวงปู่ .. ซึ่งก็ได้แกะปลาตะเพียนทอง-เงินออกจากตัวองค์ออกมา (สังเกตยังเป็นรอยอยู่เลยครับ) แต่ดินที่อุดไปนั้นค่อนข้างแน่นมาก ผมก็เลยไม่กล้าแคะแกะออกมา เพราะกลัวว่าจะไปทำให้กุมารเสียหายได้ แล้วก็ได้สอบถามหลวงปู่ท่านจนแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้วจึงให้หลวงปู่ท่านเจิมเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ

ตั้งแต่นำมาบูชา..ถือว่าดีมากครับ ไม่มีเรื่องไม่ดีใดๆมาเลย

sanoru

sanoru

sanoru

ข้อมูลจาก คุณ season777
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กุมารทองพิพิธภัณฑ์ หรือ ที่ส่วนใหญ่เราเรียกว่า "รุ่น ย".. เป็นกุมารทองเนื่อดินกุมารรุ่นแรกของหลวงปู่ท่านที่ทำออกมาเป็นเนื้อดินกุมารทั้งองค์.. เนื่องจากกุมารทองส่วนใหญ่ของท่านที่ออกมาก่อนหน้านั้น จะเป็นโลหะ อุดดินกุมาร หรือไม่ก็เป็นเนื้อปูน อุดดินกุมาร มากกว่า..

รุ่น พิพิธภัณฑ์ (ผมขอเรียกว่า "รุ่น ย").. มีทำออกมา 3 แบบหลักคือ องค์ขนาด 5"นิ้ว มีทั้ง "ย" และ "ยย" และก็มีองค์ขนาด 3"(นิ้ว) ซึ่งมีความพิเศษ คือใช้ดินกองสลากเป็นส่วนผสม ก็เลยถูกเรียกว่า "รุ่นกองสลาก" ไปด้วยครับ)

จำนวนการสร้างนั้นไม่เกิน 600-700 องค์ ... เป็นการจัดสร้างที่ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากแกะพิมพ์ออกมาจากหมดก่อน แล้วค่อยๆทยอยผมจนหมด ..

การเผากุมารนั้นช่วงแรกๆ สีดินองค์กุมารและเสียงเนื่อดินเวลาเคาะจะทุ้มๆไม่ใสเท่าไร .. จำนวนหลังๆที่เผาจึงผสมแกลบลงไปด้วย จึงทำให้มีเสียงเวลาดีดนิ้วเคาะที่ตัวองค์ ออกมาค่อนข้างใสมาก.. (ใครมีลองเคาะกันดูครับ)
การจารนั้นเป็นของหลวงปู่แย้มทั้งหมดครับ ไม่มีใครช่วยจารเหมือนรุ่นปัจจุบันที่ท่านอายุมากขึ้น และมีผู้คนไปหาท่านมากขึ้นเช่นกัน จนท่านจารองค์เดียวไม่ไหว จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วยท่านบ้าง ซึ่งผมเห็นด้วยครับ เพราะไม่อยากให้ท่านเหนื่อยมาก...

หน้าตาของกุมารนั้น.. อาจจะดูไม่เหมือนกันเท่าไรนัก เพราะอยู่ที่การลงสีและการเขียนหน้าตา แต่หากดูในหลักเกณฑ์คร่าวๆที่ผมจะแนะนำต่อไป จะมีหลักง่ายๆ เพื่อแยกแยะคร่าวๆให้พอทราบได้ครับ

สำหรับขอเก๊นั้นมีทำออกมามากแล้วในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะดูเก๊ค่อนข้างง่ายเนื่องจาก
- สี ที่ดูใหม่มากจนผิดสังเกต
- รอยจารของหลวงปู่ที่ไม่มีทางจะปลอมได้เลย
- ความเก่าและสีเนื่อดินที่เผาออกมา
- รูปทรงของกุมารที่ดูเบี้ยวผิดเพี้ยนไป ไม่เข้ารูปทรง

สิ่งที่ผมอยากเตือนคือ มีบางพวกที่นำของปลอมไปลงสีใหม่ แล้วนำมาให้หลวงปู่ท่านจาร เพื่อบอกคนอื่นๆว่านี่เป็นของท่าน .. ดังนั้นเรื่องสีนี่สามารถเป็นจุดแรกๆที่จะพิจารณาได้ในตอนนี้เท่านี้... หากอีกซัก 5 ปีข้างหน้า อาจจะดูยากหน่อย เพราะสีที่ทาใหม่กันตอนนี้ก็จะเริ่มเก่าตาม

sanoru


เอาก้น เนื้อดินเผาแกลบมาให้ดูครับ

sanoru

sanoru


อันนี้รูปของคุณ "คนผ่านมา" ครับ
Webboardแสดงความคิดเห็น
เยี่ยม   แย่   แย่   แย่   เขิน   หยอกล้อ  ตกใจ  ร้องไห้   สงสัย   ขอโทษ   หดหู่   อย่าน่ะ   ต่อว่า   โอเค
รูปภาพ
(นามสกุลไฟล์ควรเป็น [ jpg , jpeg , gif ] และไฟล์ไม่เกิน 3 MB.)
*ชื่อ
*สถานะ  
*อีเมล
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
*รหัสยืนยัน

หมายเหตุ : : กรุณากรอกข้อมูลที่มี * ทุกช่อง

 


 หน้าแรก  ประวัติ  เรื่องเล่า  กุมารทอง  อื่นๆ  รวมรูปภาพ  เว็บบอร์ด

 เสริมดวงออนไลน์ By jack kumanthong

 www.facebook.com/jackkumanthong

 
view